การรถไฟแห่งประเทศไทย (ชื่อย่อ: รฟท.; อังกฤษ: State Railway of Thailand ; SRT) เป็นรัฐวิสาหกิจในกระทรวงคมนาคม ทำหน้าที่ดูแลกิจการด้านรถไฟของประเทศไทย มีทางรถไฟอยู่ภายใต้ขอบเขตดำเนินการทั้งหมด 4,070 กิโลเมตร
ทางรถไฟในประเทศถูกระเบิดได้รับความเสียหายเป็นอันมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้มีความต้องการกู้เงินจากต่างประเทศ ธนาคารโลกซึ่งเป็นเจ้าหนี้ บีบให้แปรรูปกรมรถไฟเป็นรัฐวิสาหกิจในปี 2494 สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามและมีการตราพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 ขึ้น ส่งผลทำให้ผู้บริหารของกรมรถไฟซึ่งนับเป็นส่วนราชการที่มีบุคลากรที่มีคุณภาพ ที่เดิมเคยเลื่อนตำแหน่งมาเป็นปลัดกระทรวงคมนาคมและมีบทบาทสำคัญในการผลักดันกิจการรถไฟ ต้องกลายมาเป็นเพียงแค่ผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ คือ การรถไฟแห่งประเทศไทย เท่านั้น ทำให้ขาดเส้นทางอาชีพที่จะผลักดันความก้าวหน้ากิจการรถไฟ[2]
รฟท. เป็นรัฐวิสาหกิจของไทยที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนมากที่สุด คือ 7,584 ล้านบาท[3]
เนื้อหา
[ซ่อน]
ประวัติ[แก้]
ส่วนนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาบทความนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก |
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนากรมรถไฟขึ้นเป็นครั้งแรกในสังกัดกระทรวงโยธาธิการ จากนั้นในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2439 พระองค์ได้เสด็จฯ ทรงเปิดการเดินรถไฟ สายกรุงเทพ-นครราชสีมา เส้นทางรถไฟสายแรกของประเทศสยาม กรมรถไฟจึงถือเอาวันที่ 26 มีนาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสถาปนากิจการรถไฟจนถึงปัจจุบัน[4]
เนื่องจากการล่าอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศสบริเวณเหลมอินโดจีน พระองค์ท่านทรงตระหนักถึงความสำคัญของการคมนาคม โดยเส้นทางรถไฟ เพราะการใช้แต่ทางเกวียนและแม่น้ำลำคลองเป็นพื้นนั้น ไม่เพียงพอแก่การบำรุงรักษาพระราชอาณาเขต ราษฎรที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมีจิตใจโน้มเอียงไปทางประเทศใกล้เคียง สมควรที่จะสร้างทางรถไฟขึ้นในประเทศเพื่อติดต่อกับมณฑลชายแดนก่อนอื่น ทั้งนี้เพื่อสะดวกแก่การปกครอง ตรวจตราป้องกันการรุกรานเป็นการเปิดภูมิประเทศให้ประชาชนพลเมืองเข้าบุกเบิกพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ให้เป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ และจะเป็นเส้นทางขนส่งผู้โดยสารและสินค้าไปมาถึงกันได้ง่ายยิ่งขึ้น ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2430 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เซอร์แอนดรู คลาก และบริษัทปันชาร์ด แมกทักการ์ด โลเธอร์ ดำเนินการสำรวจเพื่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา และมีทางแยกตั้งแต่เมืองลพบุรี – เชียงใหม่ สายหนึ่ง จากเมืองอุตรดิตถ์ – ตำบลท่าเดื่อริมฝั่งแม่น้ำโขงสายหนึ่ง และจากเมืองเชียงใหม่ไปยังเชียงราย เชียงแสนหลวงอีกสายหนึ่ง โดยทำการสำรวจให้แล้วเสร็จเป็นตอน ๆ รวม 8 ตอน ในราคาค่าจ้างโดยเฉลี่ยไม่เกินไมล์ละ 100 ปอนด์ ทั้งสองฝ่ายลงนามในสัญญา เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2430[5]
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชทานพระบรมราชานุมัติให้กระทรวงโยธาธิการว่าจ้าง มิสเตอร์ จี. มูเร แคมป์เบลล์ สร้างทางรถไฟหลวงจากกรุงเทพถึงนครราชสีมา เป็นสายแรก เป็นทางขนาดกว้าง 1.435 เมตร และได้เสด็จพระราชดำเนินประกอบพระราชพิธีกระทำพระฤกษ์ เริ่มการ สร้างทางรถไฟ ณ บริเวณย่านสถานีกรุงเทพ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2434 ซึ่งปัจจุบัน การรถไฟฯได้สร้างอนุสรณ์ปฐมฤกษ์รถไฟหลวงเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกเหตุการณ์สำคัญในอดีต และเพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2534 โดยมีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกเสด็จมาทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อจาก “กรมรถไฟ” เป็น “กรมรถไฟหลวง” และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บุคคลสำคัญที่ผลักดันให้กิจการรถไฟของไทยเติบใหญ่อย่างมั่นคงในเวลาต่อมา คือ นายพลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ที่ตรินีตี้คอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้รับฉายาว่าพระบิดาแห่งการรถไฟไทย โดยปี 2453 ได้รักษาการตำแหน่งเจ้ากรมรถไฟสายเหนือ ต่อมาได้รวมกรมรถไฟสายเหนือกับสายใต้เข้าด้วยกันเป็นกรมรถไฟหลวงเมื่อปี 2460 ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวงพระองค์แรก การที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอย่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์นี้ มาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวงสมัยนั้น ดูเหมือนจะเป็นพระราชประสงค์จำนงหมายไว้แต่เดิมมากกว่าเป็นการบังเอิญเนื่องแต่สงคราม เพราะเมื่อทรงแต่งตั้งพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์นี้ให้เป็นผู้บัญชาการในเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2460 แล้วนั้น ต่อมาในเดือนพฤจิกายน พ.ศ.เดียวกัน ก็ได้มีพระราชหัตถเลขาเป็นส่วนพระองค์แสดงความในพระราชหฤทัยที่ทรงมีอยู่ (พระราชหัตถเลขาลงวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460) ทรงกล่าวว่า
“รู้สึกว่า ราชการกรมรถไฟ เป็นราชการสำคัญและมีงานที่ต้องทำมาก เพราะเต็มไปด้วยความยุ่งยาก และฉันรู้สึกว่าเป็นเคราะห์ดีอย่างยิ่งที่ฉันได้เลือกให้ตัวเธอเป็นผู้บัญชาการรถไฟ และอาจพูดได้โดยไม่แกล้งยอเลยว่า ถ้าเป็นผู้อื่นเป็นผู้บัญชาการ การงานอาจยุ่งเหยิงมากจนถึงแก่เสียทีได้ทีเดียว เมื่อความจริงเป็นอยู่เช่นนี้ ฉันจึงได้มารู้สึกว่า
1) การงานกรมรถไฟไม่ใช่เป็นของที่จะวานให้เธอทำเป็นชั่วคราวเสียแล้ว จะต้องคิดอ่านเป็นงานแรมปี….
2) ฉันเห็นว่า เธอควรจะต้องให้เวลาและกำลังส่วนตัวสำหรับกิจการรถไฟนี้มากกว่าอย่างอื่น….
จึงขอบอกตามตรง และเธอต้องอย่าเสียใจว่าในขณะนี้ เธอมีหน้าที่ราชการหลายอย่างเกินไป จนทำให้ฉันนึกวิตกว่า ภถึงแม้เธอจะเต็มใจรับทำอยู่ทั้งหมดก็ดี แต่กำลังกายของเธอจะไม่ทนไปได้ จริงอยู่ฉันได้ยินเธอกล่าวอยู่เสมอว่า “ยอมถวายชีวิต” แต่ฉันขอบอกอย่างดื้อๆ เพราะฉันรักเธอว่า ฉันไม่ต้องการชีวิตของเธอ ฉันต้องการใช้กำลังความสามารถของเธอมากกว่า”
ต่อมาได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการสำนักงานและกรมในกระทรวงเศรษฐการ พุทธศักราช 2476
มาตรา 18 กรมรถไฟ แบ่งส่วนราชการ ดั่งนี้[6]
ก.ราชการกลาง
1. สำนักงานเลขานุการกรม แบ่งเป็น 2 แผนก คือ
- (1) แผนกบัญชาการฝ่ายธุรการและกฎหมาย (2) แผนกสถิติ
2. กองการเดินรถ แบ่งเป็นดั่งนี้ คือ
- (1) ฝ่ายลากเลื่อน แบ่งเป็น 2 แผนก คือ
- ก. แผนกเดินรถ
- ข. แผนกช่างกล
- (2) ฝ่ายพาณิชยการ แบ่งเป็น 4 แผนก คือ
- ก. แผนกโดยสาร
- ข. แผนกสินค้าและศิลา
- ค. แผนกโฮเต็ล บ้านพักและรถเสบียงและที่ดิน
- ง. แผนกโฆษณาการ
- (3) แผนกกลาง แบ่งเป็น 2 หมวด คือ
- ก. หมวดอบรม
- ข. หมวดสารบรรณ
3. กองการช่าง แบ่งเป็นดั่งนี้
- (1) ฝ่ายบำรุงทางและสถานที่ แบ่งเป็น 2 แผนก คือ
- ก. แผนกโทรเลขโทรศัพท์และอาณัติสัญญาณ
- ข. แผนกบำรุงทางสถานที่
- (2) ฝ่ายโรงงาน แบ่งออกเป็น 4 แผนก คือ
- ก. แผนกรถจักร
- ข. แผนกรถโดยสารและรถบรรทุก
- ค. แผนกโรงจักร
- ง. แผนกไฟฟ้า
- (3) ฝ่ายก่อสร้าง แบ่งออกเป็น 2 แผนก คือ
- ก. แผนกสำรวจ
- ข. แผนกก่อสร้าง
- (4) ฝ่ายพัสดุ แบ่งออกเป็น 2 แผนก คือ
- ก. แผนกซื้อและรับของ
- ข. แผนกเก็บและจ่าย
- (5) แผนกแบบแผน แบ่งออกเป็น 3 หมวด คือ
- ก. หมวดออกแบบ
- ข. หมวดโรงพิมพ์
- ค. หมวดรักษากรรมสิทธิ์ที่ดิน
- (6) แผนกกลาง แบ่งออกเป็น 2 หมวด คือ
- ก. หมวดอบรม
- ข. หมวดสารบรรณ
4. กองบัญชี แบ่งเป็นดั่งนี้
- (1) ฝ่ายรวบรวมบัญชี แบ่งเป็น 3 แผนก คือ
- ก. แผนกบัญชีทางเปิด
- ข. แผนกบัญชีพัสดุ
- ค. แผนกบัญชีก่อสร้าง
- (2) ฝ่ายคลังเงินและตั๋ว แบ่งเป็น 2 แผนก คือ
- ก. แผนกคลังเงิน
- ข. แผนกตั๋วโดยสาร
- (3) ฝ่ายตรวจบัญชี แบ่งเป็น 4 แผนก คือ
- ก. แผนกตรวจบัญชีต่างประเทศ
- ข. แผนกตรวจบัญชีรายได้
- ค. แผนกตรวจบัญชีโดยสาร
- ง. แผนกตรวจบัญชีค่าระวาง
- (4) แผนกกลาง
ข. ราชการท้องถิ่น
1. ราชการท้องถิ่นที่ขึ้นแก่กองเดินรถ คือ
- (ก) แผนกเดินรถพาณิชยการภาคกลาง แบ่งออกเป็น 3 แขวง คือ
- 1. แขวงกรุงเทพ ฯ
- 2. แขวงปราจีนบุรี
- 3. แขวงเพชรบุรี
- (ข) แผนกเดินรถพาณิชยการภาคตะวันออก แบ่งออกเป็น 3 แขวง คือ
- 1. แขวงโคราช
- 2. แขวงลำชี
- 3. แขวงขอนแก่น
- (ค) แผนกเดินรถพาณิชยการภาคเหนือ แบ่งออกเป็น 3 แขวง คือ
- 1. แขวงปากน้ำโพ
- 2. แขวงอุตรดิตถ์
- 3. แขวงนครลำปาง
- (ง) แผนกเดินรถพาณิชยการภาคใต้ แบ่งออกเป็น 3 แขวง คือ
- 1. แขวงชุมพร
- 2. แขวงทุ่งสง
- 3. แขวงหาดใหญ่
2. ราชการท้องถิ่นที่ขึ้นแก่กองการช่าง คือ
- (ก) แผนกบำรุงทางสถานที่ภาคกลาง แบ่งเป็น 3 แขวง คือ
- 1. แขวงกรุงเทพ ฯ
- 2. แขวงปราจีนบุรี
- 3. แขวงเพชรบุรี
- (ข) แผนกบำรุงทางสถานที่ภาคตะวันออก แบ่งเป็น 3 แขวง คือ
- 1. แขวงโคราช
- 2. แขวงลำชี
- 3. แขวงแก่งคอย
- (ค) แผนกบำรุงทางสถานที่ภาคเหนือ แบ่งเป็น 3 แขวง คือ
- 1. แขวงปากน้ำโพ
- 2. แขวงลำปาง
- 3. แขวงอุตรดิตถ์
- (ง) แผนกบำรุงทางสถานที่ภาคใต้ แบ่งเป็น 4 แขวง คือ
- 1. แขวงชุมพร
- 2. แขวงทุ่งสง
- 3. แขวงหาดใหญ่
- 4. แขวงยะลา
ใน พ.ศ. 2484 การคมนาคมก็ได้ถูกปรับปรุงให้กลับมาเป็นกระทรวงคมนาคมตามเดิม ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2484 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2484 มีการแบ่งส่วนราชการ กระทรวงคมนาคม ดังนี้[7]
- สำนักเลขานุการรัฐมนตรี
- สำนักงานปลัดกระทรวง
- กรมการขนส่ง (กองการบินพาณิชย์เดิม สังกัดกระทรวงเศรษฐการ)
- กรมเจ้าท่า (โอนจากกระทรวงเศรษฐการ)
- กรมไปรษณีย์โทรเลข (โอนจากกระทรวงเศรษฐการ)
- กรมทาง (เดิมเป็นกองทางสังกัด กรมโยธาเทศบาล กระทรวงมหาดไทย)
- กรมรถไฟ (โอนจากกระทรวงเศรษฐการ)
เครื่องแบบ[แก้]
ได้มีการกำหนดลักษณะเครื่องแบบและสิ่งประกอบสำหรับเครื่องแบบของข้าราชการพลเรือนรัฐพาณิชย์กรมรถไฟ มาตั้งแต่ พ.ศ. 2482 โดยได้มีการออกกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช 2478 เรื่อยมา แต่ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยของรัฐบาลที่เข้ามาบริหาร ตามตัวอย่างดังต่อไปนี้
กฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 38 (พ.ศ. 2491) (ว่าด้วยเครื่องแบบพนักงานกรมรถไฟ) ออกกฎโดยรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์เป็นนายกรัฐมนตรี[8]
- ข้อ 1 เครื่องแบบสำหรับพนักงานกรมรถไฟ มี 2 ชนิด คือ
- ก. เครื่องแบบสีกากี
- ข. เครื่องแบบสีน้ำเงิน
- ข้อ ๒ เครื่องแบบสีกากี ประกอบด้วย
- (1) หมวกทรงหม้อตาลสีกากี กะบังหน้าสีดำ มีผ้าพันหมวกสีดำขนาดกว้าง 5 เซนติเมตรพันรอบหมวกสายรัดคางสีน้ำตาล มีดุมดำด้วยวัตถุสีน้ำตาลแก่ติดข้างหมวกสำหรับติดสายรัดคางข้างละ 1 ดุม ที่หน้าหมวกติดรูปครุฑพ่าห์ หรือ หมวกกันแดดแบบราชการสีกากี มีสายรัดคางและหน้าหมวกเช่นเดียวกับหมวกทรงหม้อตาล แต่ให้มีขลิบสีดำ ขนาดกว้าง 1 เซนติเมตร ไว้ตอนบนของผ้าพันหมวก
กฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 44 (พ.ศ. 2494) (ว่าด้วยเครื่องแบบพนักงานกรมรถไฟ) ออกกฎโดยรัฐบาลของจอมพล ป พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี[9]
- ข้อ 3 เครื่องแบบพนักงานกรมรถไฟ มี 3 ชนิด คือ
- (1) เครื่องแบบขาว
- (2) เครื่องแบบกากี
- (3) เครื่องแบบน้ำเงิน
- ข้อ 4 เครื่องแบบขาว ประกอบด้วย
- (1) หมวกทรงหม้อตาลขาว กะบังหน้าหนังดำ มีผ้าพันหมวกดำทำด้วยสักหลาดขนาดกว้าง 5 เซนติเมตร พันรอบหมวก สายรัดคางไหมสีทอง มีดุมดุนเป็นรูปรถจักรทำด้วยโลหะสีทอง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 มิลลิเมตรติดข้างหมวกสำหรับติดสายรัดคางข้างละ 1 ดุม มีหน้าหมวกทำด้วยโลหะสีทองเป็นรูปหน้าหม้อรถจักร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.5 เซนติเมตร มีลายกนกโดยรอบตามทางกว้าง 5 เซนติเมตร ตามทางสูง 6 เซนติเมตร ภายในวงกลมหน้าหม้อรถจักร มีอุนาโลมอยู่ภายใต้บัวกนก รอบวงกลมมีอักษรว่า “รัฐพาณิชย์ กรมรถไฟ” ภายใต้มีสาบแดงหรือหมวกกันแดดแบบราชการขาว มีสายรัดคางและโลหะติดหน้าหมวกเช่นเดียวกับหมวกทรงหม้อตาล แต่ให้มีขลิบดำขนาดกว้าง 1 เซนติเมตร ไว้ตอนบนของผ้าพันหมวก
- (2) เสื้อเชิ้ตกากีแขนยาวไม่พับปลายแขนหรือแขนสั้นมีอินทรธนูสีเดียวกับเสื้อเช่นเดียวกับเครื่องแบบขาว มีกระเป๋าที่อกเสื้อข้างละ 1 กระเป๋า มีใบปกเป็นรูปมนชายกลางแหลม มีดุมโลหะตามข้อ 4 ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 มิลลิเมตร ที่ปากกระเป๋าข้างละ 1 ดุมที่อกเสื้อ 5 ดุมและที่ปลายแขนสำหรับเสื้อแขนยาวข้างละ 1 ดุม หรือเสื้อกากีคอปิดแบบคอเชิ้ต แขนยาวข้อมือรวบ ปล่อยเอว ผ่าอกตลอด สวมทับกางเกง มีดุมชนิดและขนาดเช่นเดียวกับเครื่องแบบขาวที่อกเสื้อ ๕ ดุม มีกระเป๋าเย็บติดภายนอกเป็นกระเป๋าบนและล่างอย่างละ 2 กระเป๋า กระเป๋าบนมีใบปกรูปมนชายกลางแหลม มีแถบกว้าง 3.5 เซนติเมตรตรงกึ่งกลางกระเป๋าทางดิ่ง กระเป๋าล่างเป็นกระเป๋าย่าม มีใบปกรูปตัด ที่ปากกระเป๋าทั้ง 4 กระเป๋าและที่ปลายแขนเสื้อติดดุมขนาด 16 มิลลิเมตร ข้างละ 1 ดุม ที่เอวคาดเข็มขัดทำด้วยผ้าสีเดียวกับเสื้อขนาดกว้าง 5 เซนติเมตร หัวสี่เหลี่ยมหุ้มผ้าสีเดียวกัน กับมีอินทรธนูสีเดียวกับเสื้อทั้ง 2 ข้าง สำหรับติดดุมและเครื่องหมายชั้นเช่นเดียวกับเครื่องแบบขาว
- (3) กางเกงกากีขายาวไม่พับปลายขา เมื่อใช้เสื้อเชิ้ตให้สวมทับเสื้อและคาดเข็มขัดหนังสีน้ำตาล กว้าง 3.5 เซนติเมตร หัวเข็มขัดทำด้วยโลหะสีทอง เป็นรูปวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร ภายในวงกลมดุนเป็นรูปรถจักร และรอบวงกลมมีอักษรว่า “รัฐพาณิชย์กรมรถไฟ”
- (4) รองเท้าดำหรือสีน้ำตาล พร้อมด้วยถุงเท้าสีเดียวกัน
- ข้อ 6 เครื่องแบบน้ำเงิน ประกอบด้วยหมวก เสื้อและกางเกงเช่นเดียวกับเครื่องแบบกากีชนิดเสื้อเชิ้ต เว้นแต่เปลี่ยนสีจากกากีเป็นน้ำเงิน และ
- (1) หมวกให้ใช้แต่หมวกทรงหม้อตาล สายรัดคางดำ
- (2) เข็มขัดทำด้วยหนังดำ
- (3) รองเท้าให้ใช้ได้เฉพาะรองเท้าดำ
- ข้อ 7 ให้มีเครื่องหมายชั้นแสดงไว้บนอินทรธนูทั้ง 2 ข้าง ดั่งต่อไปนี้
- ชั้นจัตวา มีรูปล้อปีกทำด้วยโลหะสีทอง 1 อัน ติดทางด้านไหล่
- ชั้นตรี มีรูปล้อปีกเช่นเดียวกับชั้นจัตวา แต่มีโลหะสีทองทำเป็นรูปดอกจันสี่กลีบ ติดเรียงจากล้อปีก 1 อัน
- ชั้นโท เช่นเดียวกับชั้นตรี แต่เพิ่มดอกจันเป็น 2 ดอก ติดเรียงกันไปตามด้านยาวของอินทรธนู
- ชั้นเอก เช่นเดียวกับชั้นโท แต่เพิ่มดอกจันเป็น 3 ดอก ติดเรียงกันไป
- ชั้นพิเศษ ที่มิได้ดำรงตำแหน่งอธิบดี ที่ปรึกษา รองอธิบดี วิศวกรใหญ่ หรือผู้อำนวยการฝ่าย เช่นเดียวกับชั้นตรี แต่มีพระมหามงกุฎยอดมีรัศมี ทำด้วยโลหะสีทองอยู่เหนือดอกจัน
- ชั้นพิเศษ ที่ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา รองอธิบดี วิศวกรใหญ่ และผู้อำนวยการฝ่าย เช่นเดียวกับชั้นโท แต่มีพระมหามงกุฎยอดมีรัศมี ทำด้วยโลหะสีทองอยู่เหนือดอกจัน
- ส่วนอธิบดี ให้เพิ่มดอกจันติดเรียงจากดอกจันใต้พระมหามงกุฎ 1 ดอก
- ข้อ 8 เครื่องหมายสังกัด สำหรับเครื่องแบบขาว ให้ติดที่คอเสื้อ สำหรับเครื่องแบบกากี และเครื่องแบบน้ำเงินให้ติดที่ปกคอเชิ้ตทั้ง 2 ข้าง โดยใช้โลหะทำเป็นรูปวงกลมขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลาง 2.3 เซนติเมตร มีฟันเฟืองรอบวงกลม ภายในวงกลมมีอักษรย่อแสดงฝ่ายที่สังกัด ดังนี้
- ฝ่ายธุรการ ใช้ ธ.ก.
- ฝ่ายการเดินรถ ใช้ ด.ร.
- ฝ่ายการบัญชี ใช้ บ.ช.
- ฝ่ายการช่างกล ใช้ ช.ก.
- ฝ่ายการช่างโยธา ใช้ ย.ธ.
- ข้อ 9 พนักงานฝ่ายการช่างกลขณะปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับเครื่องจักรเครื่องกล ให้ใช้เครื่องแบบน้ำเงินพนักงานฝ่ายอื่นตามที่ระบุไว้ในข้อ 2 ขณะทำการตามหน้าที่ให้ใช้เครื่องแบบกากี
- ข้อ 10 พนักงานขับรถ ให้มีอักษรย่อ “พ.ข.ร.” ทำด้วยโลหะสีทองขนาดสูง 1.5 เซนติเมตรติดที่อกเสื้อเหนือกระเป๋าด้านซ้าย
- ข้อ 11 พนักงานรักษารถ และพนักงานขบวนรถขณะปฏิบัติการตามหน้าที่ให้ใช้เครื่องแบบกากีชนิดเสื้อเชิ้ตผ้าพันหมวกขาว และเฉพาะพนักงานรักษารถให้มีอักษรย่อ “พ.ร.ร.”ทำด้วยโลหะสีทองขนาดสูง 1.5 เซนติเมตร ติดที่อกเสื้อเหนือกระเป๋าด้านซ้าย
- ข้อ 12 นายสถานีหรือผู้ช่วยนายสถานีให้ใช้ผ้าพันหมวกแดง
การเปลี่ยนจากส่วนราชการเป็นรัฐวิสาหกิจ[แก้]
ในสมัยรัฐบาลที่มีจอมพลป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา เลขที่ 40 หมวด ก ฉบับพิเศษ ลงในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2494[10] และให้ประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ปีเดียวกัน ดังนั้น การรถไฟแห่งประเทศไทย จึงถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจประเภทสาธารณูปโภค สังกัดกระทรวงคมนาคม และให้มีการโอนกิจการ ทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิ หน้าที่ต่างๆ รวมไปถึงข้าราชการพลเรือนรัฐพาณิชย์ ลูกจ้าง และสายงานทั้งหมด ของกรมรถไฟไปอยู่ในการดำเนินงานของ การรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมี หลวงเสรีเริงฤทธิ์ (จรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์) เป็นผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทยคนแรก และเป็นอธิบดีกรมรถไฟคนสุดท้าย
การปรับปรุง[แก้]
![](https://i0.wp.com/upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/3/3f/Siamrailway1.jpg/200px-Siamrailway1.jpg)
พนักงานข้าราชการกรมรถไฟหลวง 2477
พนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน
หลังจากที่รถไฟไทยได้รับเสียงวิจารณ์ด้านลบอย่างมาก ทั้งในแง่ของการเดินรถช้า อุปกรณ์เก่าและขาดการซ่อมบำรุง จึงมีความพยายามจากหลายภาคส่วนในการปรับปรุงระบบรถไฟหรือแปรรูปเป็นเอกชน แต่หลายๆครั้งก็ถูกคัดค้านโดยสหภาพการรถไฟ
ในปี พ.ศ. 2551 ได้มีการดำเนินการประมูลสร้างรถไฟทางคู่จากฉะเชิงเทราถึงแหลมฉบัง คิดเป็นระยะทาง78กิโลเมตร ตามมาด้วยรถไฟรางคู่จากคลองสิบเก้าถึงชุมทางแก่งคอย และทางคู่ขางนครปฐมถึงหัวหิน ในปี พ.ศ. 2553 โครงการประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนกำลังจะเกิดขึ้น ทำให้เกิดโครงการรถไฟรางคู่จากนครราชสีมาถึงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว โดยเริ่มจากสถานีรถไฟนครราชสีมาถึงสถานีรถไฟชุมทางถนนจิระ โครงการรถไฟรางคู่มีเป้าหมายสูงสุดที่การปรับปรุงสายเหนือ สายตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้ รวมเป็นระยะทางทั้งหมด 832 กิโลเมตร[11]
ในปี พ.ศ. 2555 การรถไฟได้ทยอยเปิดประมูลซื้อหัวรถจักรใหม่ 70 คัน และรถโดยสาร 115 คัน คิดเป็นมูลค่ารวม 19,406.4ล้านบาท [12] โดยการโครงการจัดซื้อถูกกระตุ้นจากเหตุรถไฟตกรางต่อเนื่องสามเหตุการณ์ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2554 ถึงต้นปี พ.ศ. 2555
รายพระนามและรายนามเจ้ากรมรถไฟ ผู้บัญชาการกรมรถไฟ อธิบดีกรมรถไฟ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย[แก้]
ลำดับ | รูป | รายนามเจ้ากรมรถไฟ![]() |
ดำรงตำแหน่ง |
---|---|---|---|
1 | ![]() |
นายเค. เบธเก้ | พ.ศ. 2439 – พ.ศ. 2442 |
2 | ![]() |
นายเอช. เกอร์ธ | พ.ศ. 2442 – พ.ศ. 2447 |
3 | ![]() |
นายแอล ไวเลอร์(สายเหนือ) | 1 ก.ค. 2447 – 5 มิ.ย.2460 |
4 | ![]() |
นายเอช กิตตินส์(สายใต้) | 1 มิ.ย. 2452 – 31 พ.ค.2460 |
ลำดับ | รูป | รายพระนาม และนามผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง | ดำรงตำแหน่ง |
1 | ![]() |
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน | พ.ศ. 2460 – พ.ศ. 2469 |
2 | ![]() |
พระยาสารศาสตร์ศิริลักษณ์ ( สรรเสริญ สุขยางค์ ) | 8 ก.ย. 2471 – 9 ส.ค.2475 |
3 | ![]() |
พระยาสฤษดิการบรรจง(สมาน ปันยารชุน) | พ.ศ. 2475 – พ.ศ. 2476 |
4 | ![]() |
พระยาประกิตกลศาสตร์ | 1 เม.ย. 2476 – 24 ก.ย.2476 |
5 | ![]() |
นายพันเอก พระวิสดารดุลยะรัถกิจ (เชย พันธุ์เจริญ) | พ.ศ. 2476 – พ.ศ..2477 |
ลำดับ | รูป | รายนามอธิบดีกรมรถไฟ | ดำรงตำแหน่ง |
1 | ![]() |
พล.ต.พระอุดมโยธาธิยุต | พ.ศ. 2477 – พ.ศ. 2479 |
2 | ![]() |
หลวงเสรีเริงฤทธิ์ (จรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์) | 1 ก.พ. 2479 – 10 มี.ค. 2485 |
3 | ![]() |
พันตรี ควง อภัยวงศ์ | มี.ค. 2485 – ก.ค. 2485 |
4 | ![]() |
พ.อ.ขุนศรีศรากร (ชลอ ศรีศรากร) | พ.ศ. 2485 – พ.ศ. 2486 |
5 | ![]() |
พล.ต.พระอุดมโยธาธิยุต | 17 ก.ย. 2486 – 2 พ.ย. 2486 |
6 | ![]() |
นายจรูญ สืบแสง | 2 พ.ย. 2486 – 15 ก.พ. 2488 |
7 | ![]() |
นายปุ่น ศกุนตนาค | 19 ธ.ค. 2488 – 11 พ.ย. 2492 |
8 | ![]() |
พลเอกจรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ | 11 พ.ย. 2492 – 30 มิ.ย. 2494 |
ลำดับ | รูป | รายนามผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย | ดำรงตำแหน่ง |
1 | ![]() |
พลเอกจรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ | 1 ก.ค. 2494 – 10 ก.ย. 2502 |
2 | ![]() |
พลเอกไสว ไสวแสนยากร | 11 ก.ย. 2502 – 31 ธ.ค. 2507 |
3 | ![]() |
พันเอกแสง จุละจาริตต์ | 1 ม.ค. 2508 – 24 ก.พ. 2514 |
4 | ![]() |
นายอะนะ รมยานนท์ | 25 ก.พ. 2514 – 31 ธ.ค. 2516 |
5 | ![]() |
พลโททวน สริกขกานนท์ | 1 ม.ค. 2517 – 1 พ.ค. 2519 |
6 | ![]() |
นายสง่า นาวีเจริญ | 8 มิ.ย. 2519 – 30 เม.ย. 2522 |
7 | ![]() |
นายธวัช แสงประดับ | 1 พ.ค. 2522 – 26 ก.ค. 2525 |
8 | ![]() |
นายบันยง ศรลัมพ์ | 27 ก.ค. 2525 – 30 ก.ย. 2529 |
9 | ![]() |
นายหิรัญ รดีศรี | 1 ต.ค. 2529 – 10 ธ.ค. 2531 |
10 | ![]() |
นายเชิด บุณยะรัตนเวช | 11 ธ.ค. 2531 – 31 ก.ค. 2532 |
11 | ![]() |
นายสมชาย จุละจาริตต์ | 1 ส.ค. 2532 – 28 ก.พ. 2535 |
12 | ![]() |
นายสมหมาย ตามไท | 1 มี.ค. 2535 – 29 ส.ค. 2537 |
13 | ![]() |
นายเสมอ เชาว์ไว | 30 ส.ค. 2537 – 30 ก.ย. 2539 |
14 | ![]() |
นายสราวุธ ธรรมศิริ | 1 ต.ค. 2539 – 2545 |
15 | ![]() |
ดร.จิตต์สันติ ธนะโสภณ | พ.ศ. 2545 – พ.ศ. 2549 |
16 | ![]() |
นายยุทธนา ทัพเจริญ | พ.ศ. 2549 – พ.ศ. 2555 |
17 | ![]() |
นายประภัสร์ จงสงวน | พ.ศ. 2555 – ปัจจุบัน |
หน่วยงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยในภูมิภาค[แก้]
การรถไฟแห่งประเทศไทยมีหน่วยการเดินรถไฟกระจายอยู่ทั้ง 4 ภูมิภาคของแต่ละภาคโดยมีทั้งสิ้น 3 เขตลากเลื่อน
- กองลากเลื่อนเขตนครราชสีมา (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
- กองลากเลื่อนเขตอุตรดิตถ์ (ภาคเหนือ)
- กองลากเลื่อนเขตหาดใหญ่ (ภาคใต้)
เส้นทางเดินรถ[แก้]
การรถไฟแห่งประเทศไทย
ปัจจุบันการรถไฟฯ มีระยะทางที่เปิดการเดินรถแล้ว รวมทั้งสิ้น 4,346 กิโลเมตร โดยเป็นทางคู่ช่วง กรุงเทพ – รังสิต ระยะทาง 31 กิโลเมตร และเป็นทางสามช่วง รังสิต – ชุมทางบ้านภาชี ระยะทาง 59 กิโลเมตร โดยมีเส้นทาง ดังนี้
- ทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ถึง (สถานีรถไฟอุบลราชธานี อำเภอวารินชำราบ) จังหวัดอุบลราชธานี ระยะทาง 575 กิโลเมตร และ จังหวัดหนองคาย และต่อจากหนองคายไปยัง สถานีรถไฟท่านาแล้ง (สปป.ลาว) ระยะทาง 627.5 กิโลเมตร
- ทางรถไฟสายเหนือ ถึง สถานีรถไฟเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ และ สถานีรถไฟ สวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ระยะทาง 751 กิโลเมตร
- ทางรถไฟสายใต้ เริ่มต้นจากสถานีกรุงเทพ ถึง ( สถานีรถไฟสุไหงโก-ลก อำเภอสุไหงโกลก ) จังหวัดนราธิวาส ระยะทาง 1,159 กิโลเมตร และ สถานีรถไฟปาดังเบซาร์จังหวัดสงขลา ระยะทาง 974 กิโลเมตร ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับทางรถไฟของ ประเทศมาเลเซีย ไปถึงยัง ประเทศสิงคโปร์ และ สถานีรถไฟกันตัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรังระยะทาง 850 กิโลเมตร และ สถานีรถไฟนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ระยะทาง 816 กิโลเมตร
- ทางรถไฟสายตะวันออก ถึง จังหวัดสระแก้ว ( สถานีรถไฟอรัญประเทศ อำเภออรัญประเทศ ) ระยะทาง 255 กิโลเมตร และ จังหวัดระยอง ที่ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุต สถานีรถไฟมาบตาพุด ระยะทาง 200 กิโลเมตร
- ทางรถไฟสายตะวันตก จาก สถานีธนบุรี ถึง ( อำเภอไทรโยค สถานีรถไฟน้ำตก ) จังหวัดกาญจนบุรี ระยะทาง 194 กิโลเมตร และถึง สถานีรถไฟสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ระยะทาง 157 กิโลเมตร
- ทางรถไฟสายแม่กลอง ช่วง สถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ – สถานีรถไฟมหาชัย ระยะทาง 31 กิโลเมตร และช่วง สถานีรถไฟบ้านแหลม – สถานีรถไฟแม่กลอง ระยะทาง 34 กิโลเมตร
และการรถไฟฯ ยังได้เปิดเดินเส้นทางรถไฟฟ้าจำนวน 1 เส้นทาง ระยะทาง 28.6 กิโลเมตร โดยให้บริษัท รถไฟฟ้า รฟท. จำกัด (SRT Electrified Train Co., Ltd. หรือ SRTET) ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ก่อตั้งขึ้นโดยได้รับความร่วมมือจาก Deutsche Bahn AG ประเทศเยอรมนี เป็นผู้ดำเนินการในการเดินรถ โดยเส้นทางดังกล่าวคือ รถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
นอกจากนั้นยังมีการสร้างทางอีกหลายเส้นทาง อาทิ สถานีรถไฟชุมทางคลองสิบเก้า – สถานีรถไฟชุมทางบ้านภาชี – สถานีรถไฟชุมทางแก่งคอย – สถานีรถไฟศรีราชา – สถานีรถไฟแหลมฉบัง – สถานีรถไฟชุมทางเขาชีจรรย์ – สถานีรถไฟมาบตาพุด และโครงการรถไฟฟ้าอีกสองเส้นทางคือ รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงอ่อน (ศาลายา – หัวหมาก) และรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเข้ม (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต – มหาชัย) หรือเรียกรวมๆ ได้ว่า โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง)
นอกจากนี้ยังมีโครงการปรับปรุงรางที่สำคัญมากๆต่อการพัฒนารางคือ ขยาย รางให้เป็นรางคู่เพื่อให้สามารถทำความเร็วได้มากขึ้นลดเวลาการเดินทาง จุโบกี้สินค้าได้มากขึ้น จุผู้โดยสารได้มาก และประหยัดพลังงานมากขึ้นเนื่องจาก การขนส่ง เที่ยวหนึ่ง สามารถจุคนสินค้าได้มากกว่ารถยนต์ ซึ่งโครงการนี้จะเป็นการพัฒนาปรับปรุงการขนส่งทางรางให้มีประสิทธิภาพและดีขึ้นซึ่งปัจจุบันรางเดี่ยวไม่เหมาะที่จะขนส่งอีกต่อไป ซึ่งรางเดี่ยวจะเสียต้นทุนมาก โครงการที่สำคัญๆ ที่จะสร้าง คือ ชุมทางสระบุรีไป ปากนำโพ 118กม นครปฐมไปหัวหิน 165 กม มาบกะเบา ไป ชุมทางจิระ132 กม และ จิระไปขอนแก่น 185กม ประจวบ คีรีขันธ์ไปชุมพร 167กม โครงการเฟสแรกรวม 767 กม
กิจการอื่น[แก้]
ภาพยนตร์[แก้]
ปี 2465 พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ซึ่งขณะนั้นทรงเป็นผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง ได้ทรงจัดตั้ง “กองภาพยนตร์เผยแพร่ข่าว กรมรถไฟหลวง” เพื่อทำหน้าที่ผลิตภาพยนตร์ข่าวสารและสารคดีเผยแพร่กิจการของกรมรถไฟหลวง ตลอดจนกิจการของกระทรวงทบวงกรมอื่นๆ ทั้งมวล รวมไปถึงบริการรับจ้างผลิตภาพยนตร์ให้แก่เอกชนทั่วไปด้วย นับได้ว่าเป็นการจัดตั้งหน่วยงานผลิตภาพยนตร์อย่างเป็นกิจลักษณะและใหญ่โตระดับชาติ กองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าวได้ทำหน้าที่เป็นศูนย์ผลิตภาพยนตร์ ข่าวสารและสารคดีของชาติ การที่มีกองผลิตภาพยนตร์ในกรมรถไฟหลวงก็เพื่อสร้างภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ให้ คนไทยและชาวต่างประเทศนิยมท่องเที่ยวโดยใช้บริการของรถไฟ เพราะในขณะนั้นรถไฟเป็นสิ่งใหม่ สร้างภาพยนตร์ขึ้นมาเพื่อให้เห็นสถานที่น่าท่องเที่ยวต่างๆของไทย กรมรถไฟหลวงจึงกลายเป็นโรงเรียนในการสร้างคนที่จะผลิตภาพยนตร์เรื่องของไทยต่อไปในอนาคต ต่อมาเมื่อกิจการสร้างภาพยนตร์เรื่องบันเทิงของไทยเกิดขึ้นในปี 2470 ก็ได้อาศัยบุคลากรและอุปกรณ์ของกองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าวนี้เองเป็นฐานสำคัญ เมื่อเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศตั้งแต่ปี 2475 แล้ว กิจการของกองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าว กรมรถไฟหลวง ค่อยๆลดบทบาทลง เพราะรัฐบาลใหม่ในระบอบประชาธิปไตย ได้จัดตั้งกรมโฆษณาการ (คือ กรมประชาสัมพันธ์ในเวลาต่อมา) และตั้งแผนกภาพยนตร์ขึ้นในสำนักงานนี้ เพื่อทำหน้าที่ผลิตภาพยนตร์เผยแพร่กิจการของรัฐบาล ผลงานภาพยนตร์บางส่วนของกรมรถไฟหลวง มีดังนี้
- ราชพิธีบรมราชาภิเษก (พ.ศ. 2468 ,ขาว-ดำ, เงียบ, 10 นาที )ภาพยนตร์ของ “กองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าว กรมรถไฟหลวง” ทำขึ้นเพื่อจำหน่ายแก่ผู้สนใจ เก็บไว้เป็นที่ระลึก บันทึกเหตุการณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึก ภาพยนตร์พระราชพิธีสำคัญตามโบราณราชประเพณีของไทย แสดงพิธีกรรมสำคัญตามลำดับแต่ต้นจนตลอดพระราชพิธี
- ชมสยาม (พ.ศ. 2473 ,ขาว-ดำ, เงียบ, 22 นาที )สร้างโดย “กองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าว กรมรถไฟหลวง” โดยฝีมือของ หลวงกลการเจนจิต(เภา วสุวัต) ช่างถ่ายหนังสำคัญของสยามในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นภาพยนตร์แนะนำประเทศสยามต่อชาวต่างชาติ ทำนองส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นตัวอย่างให้เห็นการมองตนเองและอวดตนเองต่อชาวต่างชาติ
- นางสาวสุวรรณ (อังกฤษ: Miss Suwanna of Siam) เป็นภาพยนตร์ใบ้ แนวรักใคร่ ค.ศ.1923 ขนาดสามสิบห้ามิลลิเมตร ความยาวแปดม้วน เขียนบทและกำกับโดย เฮนรี แม็กเร (Henry MacRae) เป็นเรื่องแรกที่ถ่ายทำในประเทศสยาม (ต่อมาคือ ประเทศไทย) โดยฮอลลีวูด ที่ใช้นักแสดงชาวสยามทั้งหมด เริ่มถ่ายทำเมื่อต้นเดือนมีนาคมและสร้างเสร็จเมื่อเดือนมิถุนายน ในปี พ.ศ. 2465 โดยกรมรถไฟหลวงให้ความร่วมมือในการถ่ายทำ หลังจากถ่ายทำเสร็จ นายเฮนรี แม็กเร ได้มอบฟิล์มภาพยนตร์ให้แก่ กรมรถไฟหลวงไว้ 1 ชุด เป็นฟิล์มขนาด 35 มิลลิเมตร มีความยาว 8 ม้วน ต่อมาบริษัทสยามภาพยนตร์ได้ขออนุญาตกรมรถไฟหลวง นำมาฉายให้ประชาชนเป็นครั้งแรกมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2466 เพื่อเก็บเงินรายได้บำรุงสภากาชาดสยาม
- โชคสองชั้น (Double Luck)เป็นภาพยนตร์ไทยเงียบ (Silent Film) สร้างโดยคนไทยสำเร็จเป็นครั้งแรกในนาม กรุงเทพภาพยนตร์ บริษัท (ต่อมาคือ ภาพยนตร์เสียงศรีกรุง) ของ มานิต วสุวัต ร่วมกับคณะหนังสือพิมพ์สยามราษฎร์ และศรีกรุง ถ่ายทำระบบ 35 มม. ขาวดำ จำนวน 6 ม้วน ประมาณ 90 นาที ฉายครั้งแรกเมื่อ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2470 ที่โรงภาพยนตร์พัฒนากร โดยจ้างทีมงานบางส่วน และอุปกรณ์การถ่ายทำ จาก”กองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าว กรมรถไฟหลวง“
ทรัพยากรปิโตรเลียมบนบก[แก้]
ในปี พ.ศ. 2461 ชาวบ้านฝาง จังหวัดเชียงใหม่ พบน้ำมันไหลขึ้นมาบนผิวดิน บริเวณบ่อต้นขาม ต่างเล่าลือกันว่าเป็นน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ นำมาใช้ทาตัวเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ เมื่อเรื่องนี้ทราบถึงเจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่ จึงสั่งให้ขุดบ่อกักน้ำมันไว้ เรียกกันว่า “บ่อเจ้าหลวง” หรือ “บ่อหลวง” ต่อมาพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ซึ่งขณะนั้นทรงเป็นผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง ทรงทราบถึงการค้นพบน้ำมันที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ จึงติดต่อว่าจ้าง “Mr. Wallace Lee” นักธรณีวิทยาชาวอเมริกัน ให้สำรวจน้ำมันและถ่านหินเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถจักรไอน้ำในกิจการรถไฟ ระหว่างปี พ.ศ. 2464 – 2465 นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้มีการใช้วิธีการทางด้านธรณีวิทยาในการสำรวจ แร่เชื้อเพลิง และปิโตรเลียมอย่างแท้จริง
ส่งเสริมการท่องเที่ยว[แก้]
ริเริ่มขึ้นโดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ได้ทรงส่งเรื่องราวเมืองไทยไปเผยแพร่ในสหรัฐฯ ต่อมาในปี 2467 ได้จัดตั้งแผนกโฆษณาของกรมรถไฟหลวงขึ้น ทำหน้าที่โฆษณาและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางมาประเทศไทย ต่อมาเมื่อทรงเลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม งานด้านส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ย้ายไปอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์และคมนาคมตามไปด้วย ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน
โรงแรม[แก้]
กรมรถไฟหลวงยังนับเป็นผู้บุกเบิกสำคัญ เช่น โรงแรมรถไฟหัวหิน ซึ่งปัจจุบัน คือ โรงแรมโซฟิเทลเซ็นทรัลหัวหินรีสอร์ท ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2465 มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมยุโรป ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นโรงแรมตากอากาศที่หรูหราที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงนั้น โรงแรมรถไฟอีกแห่ง คือ โฮเต็ลวังพญาไท ซึ่งปัจจุบัน คือ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า นับว่าหรูหรามาก เนื่องจากดัดแปลงจากพระราชวังพญาไทมาเป็นโรงแรมเมื่อปี 2469 นอกจากนี้ ยังมีโรงแรมราชธานีที่สถานีรถไฟหัวลำโพง เปิดดำเนินการเมื่อปี 2470 นับเป็นโรงแรมที่ทันสมัยระดับแนวหน้าของไทย มีบริการอาหารแบบตะวันตก ห้องพักทุกห้องมีห้องน้ำในตัว มีทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น ไฟฟ้า พัดลม และโทรศัพท์ ฯลฯ
บุคคลากร[แก้]
พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน นับแต่แรกที่ทรงปฏิบัติราชการในกรมรถไฟ พระองค์ทรงฝึกให้ข้าราชการไทย โดยการแนะนำสั่งสอนด้วยพระองค์เอง และโดยจัดให้มีนักเรียนสอบชิงทุนของกรมรถไฟหลวงออกไปศึกษาวิชาการรถไฟและการพาณิชย์ ณ ต่างประเทศ เพื่อเข้ามาสวมตำแหน่งสำคัญๆ แทนชาวต่างประเทศดั่งที่เคยจำเป็นต้องจ้างมาใช้แต่ก่อน ได้ทรงเริ่มนโยบายนี้เมื่อต้นปี พ.ศ. 2461 และรุ่นสุดท้าย ได้ส่งไปในปี พ.ศ. 2466 รวมเป็นนักเรียน 51 คน นโยบายนี้ได้รับผลอันสมบูรณ์ราวต้นปี พ.ศ. 2475 นอกจากนั้น ยังทรงรับโอนนักศึกษาไทยที่ศึกษาอยู่ ณ ต่างประเทศแล้วของกรมกองอื่นๆ มาเป็นนักเรียนใช้ทุนของกรมรถไฟหลวงก็อีกหลายนาย ทรงเป็นผู้ก่อกำเนิดชักนำให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อยในกรมรถไฟมีความรู้สึกฉันมิตรซึ่งกันและกัน ร่วมมือฏิบัติราชการโดยมิให้เป็นไปเยี่ยงนายกับบ่าว ความร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของข้าราชการกรมรถไฟนับแต่สมัยพระองค์ทรงบังคับบัญชา เป็นผลความเจริญแก่กรมรถไฟมาจนทุกวันนี้ และกรมรถไฟหลวงยังเป็นแหล่งผลิตวิศวกรไปยังงานก่อสร้างที่สำคัญของประเทศอีกหลายหน่วยงาน
ดูเพิ่ม[แก้]
อ้างอิง[แก้]
- Jump up↑ พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555
- Jump up↑ 117 ปี กับภารกิจฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ รฟท. ยุทธศักดิ์ คณาสวัสดิ์
- Jump up↑ ข้อมูลสำคัญของรัฐวิสาหกิจไทย (State Enterprise Key Indicators : SEKI) ฉบับที่ 2
- Jump up↑ รอยทางจาก “กรมรถไฟ” สู่… “แอร์พอร์ต เรล ลิงก์”
- Jump up↑ สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๔ / เรื่องที่ ๗ รถไฟ / ประวัติการรถไฟในประเทศไทย
- Jump up↑ พระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการสำนักงานและกรมในกระทรวงเศรษฐการ พุทธศักราช 2476
- Jump up↑ ประวัติกระทรวงคมนาคม
- Jump up↑ กฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 38 (พ.ศ. 2491) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช 2478 (ว่าด้วยเครื่องแบบพนักงานกรมรถไฟ)
- Jump up↑ กฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 44 (พ.ศ. 2494) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช 2478 (ว่าด้วยเครื่องแบบพนักงานกรมรถไฟ)
- Jump up↑ พระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494
- Jump up↑ [1]
- Jump up↑ [2]
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
- เว็บไซต์การรถไฟแห่งประเทศไทย
- แผนที่แสดงเส้นทางการเดินรถไฟในปัจจุบัน
![]() |
คอมมอนส์ มีภาพและสื่ออื่น ๆ เกี่ยวกับ: การรถไฟแห่งประเทศไทย |
|
|
|
|
- หน้านี้แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2557 เวลา 18:17 น.