Online public Relations Marketing

การทำตลาดออนไลน์ (Online Marketing)

  Online Marketing(การตลาดออนไลน์) คือการทำการตลาดโดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งวิธีนี้เป็นการทำการตลาดที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ในเวลาอันรวดเร็ว โดยสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทั่วโลกหรือแบบเฉพาะเจาะจงแล้วแต่ความต้องการของลูกค้า

          Online Marketing(การตลาดออนไลน์) สามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งในเรื่องของพนักงานขาย การโฆษณาประชาสัมพันธ์ในรูปแบบสื่อต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ป้ายโฆษณา และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะการตลาดออนไลน์เป็นบริการตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ปริมาณการซื้อ-ขายเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แต่ทั้งนี้ ผู้ขายจะต้องศึกษาเรื่องของสินค้า และช่องทางการประชาสัมพันธ์ ตลอดจนกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อให้การใช้สื่อประเภทนี้มีประสิทธิภาพสูงสุด

  การทำตลาดออนไลน์(Online Marketing)

การทำตลาดออนไลน์(Online Marketing) ซึ่งว่าเป็นแนวทางที่มาแรงมากในยุคนี้ทางบริษัทตัวแทนโฆษณาคือกลุ่มบริษัทไอ ไอเอ็มซีคอร์ปอเรชั่นจึงพิจารณากันใหม่โดยสร้างเป็นนวัตกรรมหนึ่งทางด้านการ ตลาดก็คือ จะแบ่งเป็น 2 แนวทางคือ

1.การตลาดแบบOffline Marketing ก็คือ การสื่อสารการตลาดโดยใชเครื่องมือกลุ่มAbove the line และ กลุ่ม Below the line Activities กล่าวคือ กิจกรรมทางโฆษณา การตลาดและการขายที่มองเห็นไม่เกี่ยวกับอินเตอร์เนต จับต้องได้นั่นเอง

2.การตลาดแบบ Online Marketing ก็คือการตลาดทีมีกิจกรรมบนไซเบอร์หรือระบบอินเตอร์เนตทั้งหมดนั่นเองไม่ว่า จะเป็นการซื้อการขาย การโฆษณาหรือการวางแผนการตลาดผ่านทางอินเตอร์เนต ซึงปัจจุบันจะมีความสำคัญมากและสามารถลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมากทีเดียว ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

           การทำตลาดออนไลน์ 
วิธีการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ องค์ประกอบต่างๆ ของการตลาดแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นสิ่งสำคัญ ที่ผู้ประกอบการซึ่งมีหน้าร้านบนโลกไซเบอร์แห่งนี้จะต้องทำความเข้าใจเป็น อย่างดี เพื่อจะได้จัดกิจกรรมทางการตลาดอย่างเหมาะสม และเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด

ในช่วงเริ่มต้นนั้นการตลาดอาจเป็นเรื่องยากของผู้ประกอบการหน้าใหม่ รวมถึงผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจอยู่ แต่การศึกษาหาข้อมูล และการทำความเข้าใจในวิธีการการตลาดจะสามารถนำเอาข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพิ่ม เติมความเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ได้อย่างตรงกลุ่มเป้า หมาย การใช้อิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือเชิงพาณิชย์นั้น สามารถช่วยให้ผู้ขายประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งในเรื่องของสินค้า พนักงานขาย และให้บริการได้ตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง โดยเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีผู้ใช้ทั่วโลกกว่า 600 ล้านคนทำให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ทั้งนี้ ผู้ขายจะต้องศึกษาเรื่องของสินค้า, ช่องทางการประชาสัมพันธ์ ตลอดจนกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อให้การใช้สื่อประเภทนี้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ดังนั้นการมีเว็บไซต์เพื่อจำหน่ายสินค้าจึงไม่ใช่เครื่องรับประกันความสำเร็จทาง ธุรกิจ เพราะยังมีองค์ประกอบที่เป็นตัวแปรสำคัญ คือ “การตลาด” แต่เดิมนั้น หลายท่านอาจจะรู้จักส่วนผสมทางการตลาดเพียง 4 P คือ Product, Price, Place, Promotion แต่ปัจจุบันท่านต้องรู้จักกับอีก 2 P ใหม่คือ Personalization และ Privacy เพื่อให้เกิดแนวคิดประยุกต์ใช้องค์ประกอบการตลาดดั้งเดิม บวกกับความสามารถพิเศษของเทคโนโลยี ทำให้เกิดองค์ประกอบการตลาดแบบใหม่ได้

           องค์ประกอบที่ 1 ผลิตภัณฑ์ (Product)
แม้เว็บไซต์จะมีความสวยงาม แต่หากผลิตภัณฑ์ไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ความสวยงามหรือตื่นตาตื่นใจเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถที่จะสร้างรายได้ให้ กับธุรกิจได้ ดังนั้น ผู้ผลิตจึงควรที่จะมีการวิเคราะห์สินค้าว่ารูปแบบควรเป็นลักษณะใด การใช้ประโยชน์ของสินค้า และกลุ่มเป้าหมายหรือผู้ซื้อ โดยเฉพาะการผลิตสินค้าที่ไม่มีขายทั่วไปในช่องทางปกติ เช่นผลิตภัณฑ์แปรรูปสมุนไพรจากเกษตร เช่น ปลาร้าก้อน, ปลาร้าผง, สมุนไพรเพื่อสุขภาพ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้สินค้านั้นเป็นที่ต้องการของผู้ซื้อออนไลน์

ปัญหาสำคัญของการซื้อขายสินค้าทางอินเทอร์เน็ตคือ ลูกค้าไม่สามารถทดลองสินค้าได้ก่อน แม้ว่าสินค้านั้นจะดีจริง ลูกค้าส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าจากร้านที่เขาเคยได้ยินชื่อมาก่อน หรือมิฉะนั้น สินค้าจะต้องมีตรายี่ห้อ เพื่อจะได้มั่นใจในคุณภาพสินค้า และการสร้างความน่าเชื่อถือของร้านค้า ว่าจะไม่ทุจริต เพราะจำนวนเงินธุรกรรมที่ผู้บริโภคซื้อผ่านเว็บไซต์ บางครั้งก็ไม่คุ้มที่จะฟ้องร้องหากผู้ขายทุจริต นอกจากนั้น ผู้ขายจะต้องคำนึงถึงการจัดส่งสินค้าให้อยู่ในสภาพที่ดีด้วย

          องค์ประกอบที่ 2 ราคา (Price)
สินค้าไทยอาจมีราคาถูกเมื่อคำนวณในสกุลเงินต่างประเทศ แต่การขายสินค้าไปต่างประเทศในลักษณะผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค (B2C) นั้น ผู้ซื้อต้องชำระค่าขนส่ง และภาษีนำเข้าด้วย ซึ่งขณะนี้ค่าขนส่งสินค้า 1 กิโลกรัมไปอเมริกา โดยบริษัทขนส่งมีต้นทุนประมาณ 1,000 บาท ดังนั้น สินค้าเหล่านี้อาจจะมีราคาแพงกว่าที่ซื้อจากร้านในอเมริกาได้ ในระยะยาวแล้วต้นทุนการผลิตของไทยอาจสูงกว่าอินเดีย หรือจีน เพราะค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้นของไทย ทำให้ไม่สามารถพึ่งพาการส่งออกด้วยการขายของถูกได้อีกต่อไป ดังนั้น ผู้ขายจึงควรเน้นการตั้งราคาให้เหมาะสมกับคุณภาพของสินค้า หมั่นตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงราคาของคู่แข่งใกล้เคียง นอกจากนี้ ในการขายสินค้าบางชนิดเช่นเครื่องประดับที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา อาจทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสูง เพราะมีการคำนวณน้ำหนักขั้นต่ำในการส่ง ผู้ขายจึงควรนำเสนอสินค้าเครื่องประดับเป็นชุด แทนที่จะแยกขายเป็นชิ้น ซึ่งเมื่อรวมราคาเป็นชุดแล้วจะทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกว่าราคาไม่สูงนัก ในกรณีที่ผู้ขายทราบตลาดหลักของตนว่าเป็นกลุ่มลูกค้าจากประเทศอะไรแล้ว อาจทำการคำนวณค่าจัดส่งรวมเข้าไปในราคาสินค้าเลย เพื่อจะช่วยร่นกระบวนการตัดสินใจซื้อของลูกค้าให้สั้นขึ้น สำหรับการตั้งราคาเพื่อจำหน่ายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตนั้น ผู้ขายจะต้องมีการคำนวณต้นทุนให้รอบคอบ หรือความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การที่ลูกค้าทำรายการซื้อด้วยบัตรเครดิตนั้น ธนาคารจะมีการคิดค่าธรรมเนียม 3% ซึ่งผู้ขายจะต้องนำค่าใช้จ่ายนี้ไปรวมเป็นต้นทุนก่อนตั้งราคาสินค้าด้วย

           องค์ประกอบที่ 3 ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place)
คำกล่าวที่ว่า ทำเลดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ดูจะเป็นคำพูดที่มีน้ำหนักอยู่เสมอในโลกธุรกิจ เพราะทำเลการค้าที่ดีหลายแห่งจะมีค่าจอง ค่าเซ้งในราคาที่สูงลิบลิ่ว เนื่องจากเป็นที่ต้องการของคู่แข่งหลายราย และทำเลการค้าที่ดีก็มีอยู่จำกัด ทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กหลายรายจึงต้องเริ่มธุรกิจด้วยการใช้รถเข็น หรือเปิดแผงลอยย่อยๆ ก่อน ถ้าจะเทียบกับเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การหาทำเลอาจจะเทียบเคียงได้กับการตั้งชื่อร้านค้า ที่ศัพท์ทางอินเทอร์เน็ตเรียกว่า โดเมนเนม (Domain Name) ในทางอินเทอร์เน็ตนั้นไม่มีข้อจำกัดทางกายภาพ ดังนั้นทำเลการค้าทางอินเทอร์เน็ตจึงไม่ได้หมายถึงที่ตั้งของร้าน ร้านค้าอาจใส่ข้อมูลสินค้าบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ที่ประเทศไทย อเมริกา หรือ อินเดีย ได้ โดยลูกค้าไม่ได้สนใจมากนัก และส่วนใหญ่แล้วไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของร้านค้าอยู่ที่ ประเทศใด แต่ลูกค้าเข้าสู่ร้านค้าโดยจดจำชื่อร้าน เช่น Amazon.com หรือ Hotmail.com ชื่อร้านค้าเหล่านี้เปรียบเสมือนยี่ห้อสินค้า และชื่อเหล่านี้เป็นทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดบนโลกอินเทอร์เน็ต เช่นเดียวกับทำเลทองย่านการค้า การจดทะเบียนโดเมนเนมจึงควรเลือกชื่อที่จดจำได้ง่าย แต่ส่วนใหญ่ชื่อที่ดี มักจะถูกจดไปหมดแล้ว ในปัจจุบันจึงเกิดธุรกิจซื้อขายเฉพาะชื่อโดเมนเนมเกิดขึ้นอย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยไม่ควรยึดเว็บไซต์เป็นช่องทางการค้าเพียงอย่างเดียว หากมีโอกาสเปิดช่องทางการค้าตามวิธีปกติได้ก็ควรจะทำควบคู่กันไปด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ การมีเว็บไซต์นั้น จะเป็นประโยชน์ต่อการให้ข้อมูลเบื้องต้นแก่ลูกค้าก่อนซื้อ หรือมีการซื้อซ้ำได้ หลังจากที่ลูกค้าได้ซื้อสินค้าจากช่องทางปกติไปทดลองใช้จนพอใจแล้ว

          องค์ประกอบที่ 4 การส่งเสริมการขาย (Promotion)
การส่งเสริมการขายบนเว็บไซต์เป็นสิ่งจำเป็นเช่นเดียวกับการค้าปกติ โดยรูปแบบมีตั้งแต่การจัดชิงรางวัล การให้ส่วนลดพิเศษในเทศกาลต่างๆ รวมทั้งการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าเข้ามาเลือกสินค้าที่เว็บไซต์ นอกจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในสื่อปกติ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์แล้ว ยังมีการโฆษณาด้วยรูปแบบที่เรียกว่าป้ายโฆษณาบนเว็บไซต์ (Banner Advertising) ซึ่งมีลักษณะคล้ายสื่อสิ่งพิมพ์ แต่จะแสดงบนเว็บไซต์อื่น การโฆษณาลักษณะนี้จะคิดค่าใช้จ่ายตามจำนวนครั้งที่แสดงโฆษณาโดยนับเป็นจำนวน หลักพันครั้ง หรือ CPM ซึ่งมาจากคำว่า Cost Per Thousand Impressions วิธีการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่งคือ การลงทะเบียนในเว็บไซต์เครื่องมือค้นหา เช่น Yahoo.com, Google.com หรือ การประมูลขายสินค้าในเว็บไซต์ eBay.com นอกจากการประชาสัมพันธ์ด้วยวิธีต่างๆ ให้ลูกค้ารู้จักเว็บไซต์แล้ว บริการหลังการขายก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะการที่ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าครั้งหนึ่งนั้น ไม่ได้หมายถึงการที่ผู้ขายจะได้รับเพียงคำสั่งซื้อเดียว หากมีบริการที่ดี เช่น การส่งของแถม หรือคูปองส่วนลดไปพร้อมกับสินค้า จะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ และอาจกลับมาซื้อซ้ำ หรืออาจบอกต่อเพื่อนฝูงให้มาใช้บริการร้านออนไลน์ของผู้ขายต่อไปได้

           องค์ประกอบที่ 5 การให้บริการแบบเจาะจง (Personalization)
เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตทำให้เว็บไซต์สามารถเก็บข้อมูลของลูกค้าแต่ละคนได้ และสามารถให้บริการแบบเจาะจงกับลูกค้าแต่ละรายได้ ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้เคยซื้อหนังสือจากเว็บไซต์ Amazon.com เมื่อเข้ามาที่เว็บไซต์นี้อีกครั้งหนึ่งจะมีข้อความต้อนรับ โดยแสดงชื่อผู้ใช้ขึ้นมา พร้อมรายการหนังสือที่เว็บไซต์แนะนำ ซึ่งเมื่อดูรายละเอียดจะพบว่าเป็นหนังสือในแนวเดียวกับที่เคยซื้อครั้งที่ แล้ว เมื่อผู้ใช้สั่งซื้อหนังสือใด เว็บไซต์ก็จะทำการแนะนำต่อไปว่าผู้ที่สั่งซื้อหนังสือเล่มนี้ มักจะสั่งซื้อสินค้าต่อไปนี้ด้วย พร้อมแสดงรายการหนังสือหรือสินค้าแนะนำ เป็นการสร้างโอกาสการขายตลอด เครื่องคอมพิวเตอร์ของร้านค้าสามารถเก็บข้อมูลการซื้อสินค้าของลูกค้าทุกราย และใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภท Data Mining ทำการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ในการซื้อสินค้า รวมทั้งการเสนอขายสินค้าแบบ Cross Sell ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถพัฒนาไปใช้กับการให้บริการลูกค้าทางโทรศัพท์ ด้วยระบบ Call Center ได้ด้วย

            องค์ประกอบที่ 6 การรักษาความเป็นส่วนตัว (Privacy)
การซื้อขายผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้ซื้อต้องมีการกรอกข้อมูลส่วนตัวของตนส่งไปให้ผู้ขาย ดังนั้น ผู้ขายจะต้องรักษาความลับของข้อมูลเหล่านี้ โดยต้องไม่เผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ของลูกค้าก่อนได้รับอนุญาต ข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้ไม่ได้หมายถึงในเรื่องของข้อมูลอันเป็นความลับ เช่น หมายเลขบัตรเครดิตเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงข้อมูลอื่นๆ เช่นที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้ดูแลเว็บไซต์จำเป็นต้องสร้างระบบรักษาความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ว่า ข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกโจรกรรมออกไปได้ โดยผู้ขายจะต้องระบุนโยบายเกี่ยวกับการรักษาความเป็นส่วนตัวของลูกค้า หรือ Privacy Policy ให้ชัดเจนบนเว็บไซต์ และปฏิบัติตามกฎนั้นอย่างเคร่งครัด เช่นไม่ส่งโฆษณาไปหาลูกค้าทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาติ ,ไม่นำข้อมูลที่อยู่ของลูกค้าไปขายต่อให้บริษัทการตลาด เป็นต้น

ทั้งนี้ส่วนผสมทางการตลาดทั้ง 6 องค์ประกอบนี้ ผู้ขายหรือผู้ผลิต ควรมีการวางแผน และสร้างกิจกรรมที่สัมพันธ์กัน ตั้งแต่การเลือกสินค้าที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดกลุ่มเป้าหมาย ในระดับราคาเหมาะสม และมีชื่อโดเมนเนมที่ผู้ซื้อจดจำได้ง่าย สะกดผิดยาก มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ชื่อเว็บไซต์ให้ลูกค้ารู้จัก และมีบริการหลังการขายที่ดีให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ อยากกลับมาใช้บริการอีกครั้ง และต้องรักษาความลับลูกค้าได้ เพียงเท่านี้ การทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ให้ประสบความสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกิน เอื้อม…

ที่มา
http://www.iimc.co.th/knowledge/e-marketing.html

Mobile Internet Marketing

505

Introduction to mobile marketing

ธุรกิจบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นธุรกิจหนึ่งที่จะมองข้ามไม่ได้ เมื่อเทียบกับหลาย ๆ ธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในปัจจุบันนี้มีเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และนี่คงเป็นอีกหนึ่งคำตอบสำหรับนักธุรกิจ หรือนักการตลาด ที่จะมองข้ามไม่ได้ ในการที่จะนำเอาระบบเทคโนโลยีเคลื่อนที่เข้ามาช่วยในด้านการตลาด เพราะระบบเคลื่อนที่จะกลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล

การแสวงหามูลค่าใหม่ในการทำธุรกิจผ่านเครือข่ายไร้สาย เครือข่ายแบบไร้สายทำให้เกิดทั้งโอกาสและความซับซ้อนในการทำธุรกิจอย่างมโหฬาร เพราะทำให้ความคาดหวังของผู้บริโภคสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ผลักดันให้การแข่งขันสูงขึ้นด้วย ความรวดเร็วในการทำธุรกิจที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีใหม่นี้เร็วไม่พอ เมื่อเทียบกับความต้องการของผู้บริโภค ธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีการทำงานแบบ Real-time ต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและล้ำหน้าในการออกแบบกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความซับซ้อนในธุรกิจแบบนี้

Mobile Marketing สื่อรูปแบบใหม่ที่ช่วยให้สื่อสารโดยตรงไปยังลูกค้าเพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมการตลาด รายการส่งเสริมการขาย สร้างภาพลักษณ์ให้กับตราสินค้า ตลอดจนการได้มาของฐานข้อมูลอันทันสมัยของลูกค้าซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธวิธีการตลาดเชิงสัมพันธ์ (Customer Relationship Management – CRM) ที่สำคัญของการตลาดในสหัสวรรษใหม่นี้
การตลาดในยุคแห่งการช่วงชิงฐานส่วนแบ่งตลาด และรักษาฐานลูกค้าให้จงรักภักดีต่อ Brand รวมทั้งตัดสินใจใช้สินค้าและบริการได้ง่ายขึ้นนั้น Mobile Marketing ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการใช้เป็นเครื่องมือทางตลาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามจำนวนผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มากกว่า 25 ล้านรายในปัจจุบัน นั่นเพราะ Mobile Marketing เป็นการตลาดที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง และสามารถวัดผลได้รวดเร็ว รวมทั้งเป็นรูปแบบที่ใช้ต้นทุนทางการตลาดต่ำ และได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายสูง

Characteristics of Mobile Marketing

Mobile + Marketing คือการทำกิจกรรมทางการตลาดผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่ซึ่งสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ตรงตามที่ต้องการ และสามารถรายงานผลการตอบรับได้ เป็นลักษณะของการ Multi-casting โดยจะเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายหลัก เป็นการรุกและสร้างกิจกรรมส่งเสริมการตลาดควบคู่ไปด้วย เพราะกิจกรรมถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการทำโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ได้เป็นอย่างดี

กลุ่มผู้ที่เกี่ยงข้องใน Mobile marketing

1. Mobile Developer – Nokia, Motorola, Samsung ผู้พัฒนาโทรศัพท์เคลื่อนที่

2. Mobile Network Operator – AIS, DTAC, True Move, Hutch ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่

3. Content provider – ผู้ผลิตสื่อเพื่อให้บริการบนโทรศัพท์เคลื่อนที่

4. Business – ธุรกิจที่ใช้บริการสื่อเพื่อทำกิจกรรมทางการตลาด

5. Subscriber – ผู้รับบริโภคข้อความทางการตลาดรูปแบบของสื่อการตลาดผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Marketing) ที่มีให้บริการในปัจจุบัน

1. SMS Marketing

2. MMS Marketing

3. Video Clip

SMS Marketing

เทคโนโลยี SMS (Short Message Service) เป็นบริการพื้นฐานประเภทหนึ่งที่ถือขึ้นกำเนิดมาพร้อมกับระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 2G โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นการรับส่งข้อความสั้นๆ ระหว่างผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยกัน การรับส่งข้อความแบบ SMS สามารถทำได้ทุกที่ตราบเมื่อที่เครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังเปิดเครื่องทำงานอยู่ โดยไม่จำเป็นว่าเครื่องลูกข่ายกำลังถูกใช้งานโทรศัพท์อยู่หรือไม่ ทั้งนี้เพราะการรับส่งข้อความ SMS จะกระทำผ่านช่องสื่อสารควบคุม (Control Channel) ระหว่างเครื่องลูกข่ายกับสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นช่องสื่อสารขนาด Bandwidth เล็กๆ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นข้อจำกัดขนาดของข้อความ SMS แต่ละชุดไว้ไม่ให้ใหญ่เกินกว่า 160 ตัวอักษร เนื่องจากหากข้อความ SMS มีขนาดใหญ่มากเกินไปจะทำให้เกิดผลกระทบต่อความหนาแน่นของข้อมูลที่มีการรับส่งผ่านช่องสื่อสารควบคุม ซึ่งอาจมีผลต่อการให้บริการเชื่อมต่อวงจร ยกเลิกการเชื่อมต่อ หรือการย้ายเซลล์ได้ ทำให้คุณภาพในการให้บริการของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นๆด้วยประสิทธิภาพลงSMS นั้นเป็นความสามารถในการส่ง และรับข้อความที่เป็นตัวอักษรที่ส่งไปหรือรับจากเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ ข้อความจะประกอบด้วยคำ หรือ จำนวน หรือ ตัวอักษร ผสมตัวเลข บริการ SMS ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้ทำงานร่วมกันไปสู่มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบดิจิตอลระบบ GSM บริการฝากข้อความแรก ได้ถูกส่งในเดือน ธันวาคม 1992 จากเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไปยังเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่บนโครงข่ายระบบ GSM ของ Vodafone ในประเทศอังกฤษ บริการ SMS นั้นเป็นแบบสองทิศทางได้ถูกให้สนับสนุนโครงข่าย GSM, CDMA, และ TDMA

รูปแบบของบริการ Content บนโทรศัพท์เคลื่อนที่คงเปลี่ยนไป ในลักษณะของ Mobile Marketing แทนที่ผู้ใช้บริการจะดาว์นโหลดข้อมูลเองกลับเป็นผู้ให้บริการส่งข้อมูลสินค้าและโฆษณาเข้าไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ SMS กลายเป็นฟังก์ชันพื้นฐานบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ และนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโฆษณารูปแบบเดิมรูปแบบของการโฆษณา จะผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่มากขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาเนื้อหา (Content) ของระบบ SMS Interactive ที่มีการส่งโฆษณา ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่เริ่มมีบทบาท ต่อชีวิตประจำวันมากขึ้น ประกอบกับเทคโนโลยีของโทรศัพท์ ก็มีขีดความสามารถและโปรแกรมการใช้งานได้หลากหลาย ทำให้เชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะผลักดันให้บริการ Mobile marketing ขยายตัวตามไปด้วยการใช้ SMS ช่วยในการทำ Mobile Marketing เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโฆษณา เพิ่มโอกาสการสร้างชื่อสินค้าให้ประชาชนทั่วไปได้รู้จักอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการเพิ่มคำถามในโฆษณาแล้วให้ส่ง SMS กลับมานั้น จะทำให้เจ้าของผลิตภัณฑ์ทราบถึงกระแสความนิยมที่มีต่อสินค้าได้อย่างทันท่วงที ผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งของการทำ Mobile Marketing ด้วยการส่ง SMS คือ ฐานลูกค้าขนาดใหญ่ที่สามารถนำมาวิเคราะห์สิ่งที่ลูกค้ากลุ่มต่าง ๆ สนใจ หรือไม่สนใจ เพื่อนำเสนอโปรโมชั่น และสินค้าประเภทอื่น ได้ตรงตามที่กลุ่มลูกค้านั้นต้องการในครั้งต่อไป เพิ่มความถี่ของโอกาสการขายสินค้าให้มากขึ้นผลกระทบจากการเข้ามาของบริการ SMS นั้น ไม่ได้อยู่ในรูปแบบการร่วมสนุกหรือโหวตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตัวเลขต่างๆจากผลการโหวตยังส่งผลไปในการวงการเอเจนซี่โฆษณา ในด้านของผู้ผลิตรายการทีวียังนำบริการเล่น Game ทายผลหรือร่วมโหวตมาเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มในการหาสปอนเซอร์ในรายการต่างๆ การใช้ความสามารถของ SMS มารวมกับสื่ออื่นๆ ที่มีศักยภาพนั้นถือว่าเป็นการเสริมจุดอ่อนของกันและกันได้อย่างดี

สำหรับจุดเด่นของ SMS หากมองในมุมของการสื่อสารก็คือความสามารถในการเป็นผู้ส่งสารในลักษณะการกระจายสารได้ในเวลาอันรวดเร็ว มีความเด่นอย่างต่อเนื่องและตอบสนองได้แบบที่เรียกว่า Interactive และเป็นสื่อเฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง ส่วนสื่อทีวีนั้นมีความเป็นมวลชนในตัวมันเองที่สามารถเข้าถึงในทุกๆแห่ง แต่ขาดการปฏิสัมพันธ์ตอบโต้ การรวมกันของรูปแบบการใช้ SMS เข้ากับทีวีนั้นถือว่าสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ชมที่ต้องการสื่อสารกับคนในสังคมทีวี ผู้ให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ค่าบริการเครือข่ายจากการใช้ SMS ผู้ให้บริการ SMS หรือ Content Provider สามารถสร้างรายได้จาก SMS สุดท้ายผู้ผลิตรายการทีวีสามารถดึงประโยชน์จาก SMS มาเป็นกิจกรรม และสร้างมูลค่าเพิ่มแบบ Rail time ถ้ามีโอกาสได้ใช้เทคโนโลยี Bluetooth ร่วมด้วยก็จะทำให้มีบริการที่อุปกรณ์เคลื่อนที่สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์ชนิดอื่นๆ แบบไร้สายได้ด้วย สิ่งสำคัญที่จะทำให้บริการต่างๆ ประสบความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับการบริการนั้นตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากน้อยแค่ไหน ค่าบริการเหมาะสมและคุ้มค่าหรือไม่ อย่างไรก็ตามธุรกิจบนเคลื่อนที่น่าจะมีแนวโน้มเติบโตได้อีกมาก และจำนวนผู้ใช้เคลื่อนที่ก็น่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าจำนวนผู้ใช้เครื่อง PC หลายเท่า ตามที่ได้คาดการณ์ไว้และในอนาคตอันใกล้นี้เราอาจจะได้เห็นยุคที่ 4 ของเคลื่อนที่ประโยชน์ของ SMS
1. เป็นเครื่องมือในการสื่อสารแบบสองทาง (Two way communication) เป็นการทำการตลาดแบบสื่อสาร 2 ทางระหว่างผู้ส่งสาร/เจ้าของสินค้าหรือบริการ/นักการตลาดกับผู้รับสารหรือลูกค้า/กลุ่มเป้าหมาย

2. เป็นเครื่องมือ ในการทำการโฆษณาและส่งเสริมการขาย

3. สามารถใช้เป็นฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการทำการตลาดในรูปแบบของ Database Marketing เป็น การสร้าง(build) รักษา(Maintain) และ นำฐานข้อมูลของลูกค้า(Utilize) หรือ Customer Database นำมาใช้เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาด และ Database นี้เองก็เป็นหัวใจสำคัญของการทำ Direct Marketing หรือ การตลาดตรง และ CRM

4. สะดวก รวดเร็ว ประหยัด สามารถใช้ได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น ในการบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย สามารถส่ง SMS บริจาคโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไป โอนเงินให้ยุ่งยาก เป็นต้น
MMS (Multimedia Messaging Service)

MMS เป็นการให้บริการรับส่งข้อมูลในลักษณะของ Messaging ทุกรูปแบบด้วยการส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย GPRS แทนที่จะเป็นการใช้ประโยชน์ของช่องสื่อสารแบบ SMS ทำให้สามารถทำลายกำแพงที่เป็นข้อจำกัดในเรื่องของขนาดข้อมูล เทคโนโลยี MMS เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถรับส่งข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบมากที่สุด MMS เป็นเทคโนโลยีที่เปิดกว้างให้ผู้ใช้สามารถสร้างข้อความที่ประกอบด้วยภาพ เสียง รวมทั้งข้อความที่ต้องการส่งออกไปพร้อมๆ กันผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่รองรับการใช้งาน สำหรับเทคโนโลยี MMS นั้นได้ผ่านช่องทาง WAP หรือ GPRS ซึ่งเป็นเครือข่ายความเร็วสูงทำให้ได้รับข้อความประเภท มัลติมีเดีย ถึงกันได้เร็วมากขึ้น

MMS เป็นเพียงแต่ชื่อที่แนะนำความสามารถในการรับและส่งข้อความ ผ่านสื่อจำนวนมาก ประกอบด้วย ข้อความ (Text), ภาพ (Image), และวีดีโอ(Video) ที่ส่งไปยังหรือรับมาจากเครื่องโทรศัพท์ที่มีความสามารถด้านมัลติมีเดีย บริการ MMS ให้ความสามารถในการส่งภาพนิ่ง (Still Image) เช่น Mobile Postcards, Mobile Pictures, Mobile Greeting Card, Mobile Maps และ นามบัตร (Business Card) นอกเหนือไปจากภาพเคลื่อนไหว (Moving Images), การ์ตูน (Cartoons) และวีดีโอแบบโต้ตอบ (Interactive Video) จะถูกสนับสนุนโดยบริการ MMS

Video Clip

Video Clip ต้องใช้กับเครื่องที่รองรับเทคโนโลยี 3G เหมาะสำหรับธุรกิจบันเทิง และบริการ Content เพื่อเป็นช่องทางการจำหน่ายบนมือมือ อาทิ หนังสั้น เพลง รวมทั้งคอนเสิร์ต เป็นต้น
กลยุทธ์ในการทำ Mobile marketingการตลาดฐานข้อมูล Database + Marketing1. การสร้างฐานข้อมูลของลูกค้า (Build)โดยการสร้างบริการที่ลูกค้าสนใจ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าทำการกรอกประวัติส่วนตัวของลูกค้าลงบนฐานข้อมูล ตัวอย่างเช่น การลงทะเบียนเพื่อได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น Free Ring tones, Games, Wallpapers

2. การรักษาฐานข้อมูลของลูกค้า (Maintain)

3. การนำฐานข้อมูลของลูกค้าไปใช้ (Utilize) โดยการนำ Customer Database ที่ได้รับอนุญาตแล้ว ไปใช้เป็นสื่อรูปแบบใหม่ที่ช่วยให้สื่อสารโดยตรงไปยังลูกค้าเพื่อประชาสัมพันธ์และส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาด เช่น

· CRM (Customer Relationship Management)

  • การทำ Direct Marketing
  • รายการโฆษณาส่งเสริมการขาย
  • สร้างภาพลักษณ์ให้กับตราสินค้า

Mobile Advertising เริ่มจากผู้ใช้บริการสามารถเลือกรับโฆษณาสินค้า/บริการ สิทธิพิเศษและส่วนลดต่างๆ พร้อมกำหนดรายละเอียดของการรับข้อความได้เอง ทั้งประเภทของสินค้าและบริการ ช่วงเวลาที่ต้องการรับต่อวัน สามารถส่งคำสั่งเปิดหรือระงับการใช้บริการด้วยตนเอง (Right time, Right profile, Right position)

ตัวอย่างผู้ให้บริการ Mobile Marketing

ตัวอย่างการประยุกต์นำ Digital Messenger ไปใช้งาน Mobile Marketing

* อ้างอิงจากบริการของ http://www.jigsawsms.com/2005/th/solutions/index.php

1. สำหรับใช้ส่วนตัว ส่งข้อความหาเพื่อน กลุ่มเพื่อน ตั้งเวลา Birthday Reminder ให้เพื่อนหรือคนสำคัญ ตั้งเวลาเตือนนัดหมายสำคัญต่าง ๆ ล่วงหน้า

2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ระบบการแจ้งข้อมูลข่าวสารโครงการ รายการ promotion เตือนการชำระค่างวด

3. Financial/Leasing ระบบตั้งเวลาแจ้งเตือนให้ลูกค้าทราบถึงวันเวลาถึงกำหนดชำระค่างวดต่างๆ หรือรายการ promotion

  1. กีฬา ระบบโปรแกรมตั้งเวลาส่งข้อมูลการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ ไปยังเคลื่อนที่
  2. ทัวร์ ท่องเที่ยว โรงแรม Resort ส่งข้อมูล promotion campaign ให้กับสมาชิกหรือลูกค้า แนะนำถิ่นกินเที่ยวต่าง ๆ
  3. หนังสือพิมพ์ ข่าวสาร นิตยาสารและบันเทิง แจ้งข้อมูลข่าวสาร ข่าวด่วนให้สมาชิกทราบทางเคลื่อนที่
  4. ธุรกิจประกันภัย/ประกันชีวิต แจ้งข้อมูลข่าวสาร ข่าวด่วน โปรโมชั่น แจ้งเตือนชำระเบี้ยประกัน
  5. ธุรกิจขายตรง แจ้งโปรโมชั่น ยอดคอมมิชชั่น และข่าวสาร
  6. สนามกอล์ฟ แจ้งข้อมูลข่าวสาร เทคนิคใหม่ ๆ หรือกิจกรรม ต่าง ๆ ที่จัดขึ้น
  7. ธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ ระบบแจ้งข่าวสารหุ้นเด่น และรายงานผลการซื้อขาย และ Stock Alert ที่จะรองรับการบริหารการส่งข้อมูลหุ้นไปยังเคลื่อนที่ของลูกค้าเอง (Stock alert)
  8. ธุรกิจจัดหางาน แจ้งเตือนให้ผู้สมัครทราบเมื่อมีบริษัทต้องการตำแหน่งที่ตรงกับผู้สมัคร(Job alert)
    12.หน่วยงานราชการ แจ้งประกาศข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับหน่วยงาน แจ้งประชุมเตือนผู้บริหาร หัวหน้างาน

13.Sport Clubs แจ้งข้อมูลข่าวสาร แนะนำเทคนิค กิจกรรม รายการสนับสนุนการขาย

  1. บริษัทผลิตรถยนต์ / จำหน่ายรถยนต์ แจ้งข้อมูลการนำรถเข้าซ่อม การนำรถเข้าตรวจเช็คศูนย์ การส่งรถ รับรถ ชำระค่างวด
  2. โรงพยาบาล ส่งข้อความติดตามแพทย์ พยาบาล แจ้งข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลสุขภาพ ให้กับผู้ป่วย หรือรายการ promotion ต่างๆ
  3. ห้างสรรพสินค้า/ร้านค้า แจ้งรายการสินค้า promotion หรือจัดส่ง SMS Coupon เพื่อให้ลูกค้านำมาแลกส่วนลดร้านค้า
  4. ธนาคาร เชื่อมต่อกับระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ดอกเบี้ยธนาคาร จัดส่งให้สมาชิกผู้รับทุกเช้าตัวอย่างการคิดค่าบริการ SMS Advertising

*อ้างอิงจากบริการของ http://www.sms.in.th/promotion.php

กรณีที่ 1 ลูกค้ามีฐานข้อมูล เราจะทำหน้าที่ส่งให้พร้อมรายงานผล

Message Amount Price/ Unit
1,000 – 10,000 3.00
10,001 – 20,000 2.75
20,001 – 30,000 2.50
30,001 – 40,000 2.25
40,001 – 50,000 2.00

กรณีที่ 2 ลูกค้าไม่มีฐานข้อมูล ต้องการเปิดตลาดใหม่

Database Type Price/ Unit
Filtered 5.00
Bulk 3.00

Mobile Marketing ก็คือการเป็นอีกบทบาทของ Market Maker ให้มีความโดดเด่น ตรงใจ ต่อเนื่อง ประยุกต์เทคโนโลยีสื่อสารไร้สายให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้ใช้บริการ และเกิดประโยชน์สูงสุด ความพยายามในการสร้างรูปแบบการใช้บริการเครือข่ายให้เพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากการใช้สัญญาณเพื่อการสื่อสารด้วยเสียงอย่างเดียว คือ การทำให้ Mobile Marketing มีความหลากหลาย อาทิ การเปิด mBOOK, Education on mobile : Pep Tutor, mobile Advertising, Doctor Love ตอบปัญหาเรื่องความรัก ชีวิตคู่ โดยนายแพทย์ พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์, G-Member, Fashion Channel, Bond ดูรายงานผลหุ้นกู้ผ่านเคลื่อนที่

Mobile Marketing ยังจำกัดการใช้งานอยู่ในตลาดเฉพาะกลุ่มธุรกิจ Direct Marketing และส่งเสริมการขาย และสินค้าที่ต้องการให้ข้อมูลทางการตลาดเป็นส่วนใหญ่ และยังไม่ถูกนำมาใช้งานการโฆษณาอย่างจริงจัง เพราะธุรกิจโฆษณายังไม่ค่อยให้ความสนใจ และไม่มีรูปแบบการทำตลาดที่เชื่อมโยงกับ Mobile Marketing มากนัก ส่วนใหญ่เกิดจากผู้ให้บริการระบบร่วมกับเจ้าของสินค้าโดยตรงบริการนี้จึงไม่หลากหลายและโดนใจกลุ่มเป้าหมายเท่าที่ควร “ในอนาคตหากเอเยนซี่หันมาสนใจบริการรูปแบบ Mobile Marketing และช่วยกันพัฒนาตลาดและหารูปแบบโฆษณาที่น่าสนใจมาให้บริการมากขึ้น ทั้งในรูปแบบ SMS, MMS และ Video Clip จะช่วยให้โฆษณาบนโทรศัพท์เคลื่อนที่เกิดประสิทธิภาพสูง” รวมทั้งอนาคตหากโอเปอเรเตอร์พร้อมให้บริการเครือข่าย 3G จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการโฆษณาในรูปแบบมัลติมีเดีย ทั้งภาพ เสียง และข้อมูล รวมทั้งหนังสั้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมมากขึ้น

เทคนิคการเลือกใช้สื่อสำหรับการทำ Mobile Marketing

1. SMS เหมาะกับกรณีใช้แจ้งข้อมูล ข่าวสาร และโปรโมชั่น เพื่อสร้าง Interactive กับลูกค้า

2. M Alert แจ้งข้อความเพื่อทราบ เหมาะสำหรับธุรกิจ MLM และประกัน (Multi-Level Marketing หรือ MLM) ระบบขายตรง หรือการขายตรงหลายชั้น

3. MMS ใช้เพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาด อาทิ ส่งภาพ Event การตลาด และเสียงเพลง
4. Video Clip ต้องใช้กับเครื่องที่รองรับเทคโนโลยี 3G เหมาะสำหรับธุรกิจบันเทิง และบริการ Content เพื่อเป็นช่องทางการจำหน่ายบนมือมือ อาทิ หนังสั้น เพลง รวมทั้งคอนเสิร์ต เป็นต้น
เคล็ดลับการส่ง SMS ในการทำ Mobile Marketing

1. ควรเลือกส่งในช่วงพักกลางวัน ก่อนเลิกงาน หรือสุดสัปดาห์ เพราะกลุ่มเป้าหมายจะมีเวลาว่างเปิดอ่าน และมีโอกาสตอบกลับข้อความ

2. ควรใช้กับสินค้าที่ต้องการผลตอบรับทางโปรโมชั่น แต่ต้องรู้จักลูกค้าและมีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน

3. ไม่ควรใช้กับสินค้า Consumer อาทิ สบู่ ย่าสีฟัน เพราะกลุ่มเป้าหมายจะให้ความสนใจน้อย
4. เหมาะกับสินค้าที่มีต้นทุนทางการตลาดต่ำ

SWOT analysis – SMS Mobile Marketing

Strengths
1. มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าวิธีการตลาดแบบอื่น

2. ความรวดเร็วและครอบคลุมพื้นที่ในการส่งข้อมูล

3. ความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างเฉพาะเจาะจง

4. ความสามารถในการพกพาข้อมูล

5. การทำตลาดผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้รับการตอบรับกว่า 15% ในขณะที่ผลตอบรับจาก Email มีน้อยกว่า 6% และผลตอบรับจากทางไปรษณีย์มีเพียง 5%

6. Mobile marketing was better, faster, and much, much cheaper

Weaknesses
1. บริการยังไม่เป็นที่รู้จัก

2. เปลืองค่าใช้จ่ายในเรื่องของการจัดทำ Call Center

3. ความน่าเชื่อถือ

4. ประเมินผลได้ค่อนข้างยาก

5. มีข้อจำกัดทางด้านเทคนิค

Opportunities
1. ปริมาณการใช้เคลื่อนที่เพิ่มมากขึ้น

2. การรับส่งข้อความแบบ SMS สามารถทำได้ทุกที่

3. เทคโนโลยีสื่อสารมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

4. มีผู้ใช้เคลื่อนที่ทั่วประเทศประมาณ 25 ล้าน เลขหมาย ในขณะที่โทรศัพท์บ้านมีเพียงประมาณ 10 ล้านเลขหมายเท่านั้น

Threats
1. ขนาดของข้อความ SMS แต่ละชุดจำกัดไม่ให้ใหญ่เกินกว่า 160 ตัวอักษร

2. การใช้งาน SMS ต้องการได้รับการฝึกฝน

3. ความต้องการความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค

Case studies

1. โค้กเสริมเขี้ยวเล็บด้วย I-Scout นวัตกรรมล่าสุดบนเคลื่อนที่โค้กเสริมเขี้ยวเล็บด้วย I-Scout นวัตกรรมล่าสุดบนเคลื่อนที่โคคา-โคล่า(Coca-Cola: Coke) ประเทศเยอรมัน เริ่มแคมเปญด้าน Mobile Marketing โดยใช้เทคโนโลยี I-Scout ซึ่งใช้ชื่อแคมเปญว่า “Shoot and Enter theCokeFridge” หวังสร้าง Brand ให้ติดใจวัยรุ่นทางโคคาโคล่าได้นำเสนอแคมเปญนี้ในนิตยสารวัยรุ่นของเยอรมันได้แก่ YAM!, Starflash และ Maedchen โดยใครก็ตามที่เห็น Logo ” CokeFridge “(ตู้แช่โค้ก) จาก Print Ad ใบปิดหนังหรือบนบรรจุภัณฑ์ สามารถใช้เคลื่อนที่ถ่ายภาพและส่ง MMS ไปที่เบอร์ที่กำหนดซึ่งเป็น Recognition Server ของ Neven Vision และเพียงไม่กี่วินาที ระบบก็จะส่ง Java Game หรือ Wall paper มาให้ฟรี
ด้วยเทคโนโลยี I-Scout (object recognition) ทำให้ระบบสามารถวิเคราะห์ได้ว่า ภาพที่ส่งไปเป็นภาพ CokeFridge หรือไม่ ซึ่งสามารถวิเคราะห์ภาพถ่ายจากเคลื่อนที่และทำการเทียบเคียงกับภาพที่มีอยู่ในระบบฐานข้อมูล“สำหรับแคมเปญ CokeFridge นี้ถือว่าเป็นแคมเปญแรกที่นำ I-Scout มาใช้ในเชิงการตลาดบนเคลื่อนที่ ” Hartmut Neven ซีอีโอของ Neven กล่าว “การให้กลุ่มเป้าหมายได้ถ่ายภาพด้วยเคลื่อนที่ส่งมาเพื่อรับรางวัลหรือ Content ต่าง ๆบนเคลื่อนที่ ช่วยให้ โคคา-โคลาเสริมสร้าง Brand ให้แกร่งขึ้น ผลที่ได้รับคือความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแบบตัวต่อตัวได้เป็นอย่างดี”บริษัท Neven Vision เป็นผู้พัฒนาและให้บริการเทคโนโลยี Face and Object Recognition (เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าและวัตถุ) ซึ่งนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้บริการ I-Scout ในเชิงธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันโดนซื้อกิจการไปโดย Google

2. การให้บริการส่งข้อความด้วยระบบ SMS ของ Shineeบริษัท ชินนี่ดอทคอม จำกัด ผู้นำทางด้านพัฒนา Application บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้พัฒนา Platform การส่งข้อความ SMS ผ่านหน้า Website พร้อม Database http://www.hunsa.com และwww.shinee.com มากกว่า 100,000 รายชื่อ โดยสมาชิกดังกล่าวยินยอมในการรับ Message จากทางผู้ให้บริการในรูปแบบ SMS และสามารถสร้างตลาดแบบเฉพาะเจาะจง ด้วยบริการ หลากหลายดังนี้

บริการ SMS Database Marketing (SDM): บริการส่ง SMS พร้อม Database สำหรับเจาะตลาดกลุ่มเป้า

หมายได้ทันที โดยแยกประเภทของผู้รับข้อความดังนี้

  • เพศ ( SEX) แยกประเภทเป็นชายหรือหญิง
  • อายุ (AGE) แยกประเภทอายุ ตามช่วงของอายุ
  • สถานภาพ (Status) แยกประเภทสถานภาพ โสด, สมรส, หย่า
  • พื้นที่อาศัย (Location) แยกประเภท ออกเป็น กรุงเทพ ฯ และ ต่างจังหวัด
    · โทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Phone) แยกประเภท เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ จอขาวดำ, จอสี
  • อาชีพ (Occupation) แยกประเภทตามอาชีพ
  • ประเภทธุรกิจ (Line of Business) แยกประเภทได้ตามประเภทธุรกิจ 16 หมวด
  • รายได้ต่อเดือน (Revenue) แยกประเภทตามลำดับขั้นเงินเดือน
  • ความชอบ (Lifestyle) แยกประเภทตามความชอบของแต่ละหมวด เช่นหมวดกีฬา, สื่อสาร ฯลฯ

บริการ SMS to WAP Service (SWS): บริการส่งข้อความSMS พร้อม Link ในการเชื่อมโยงไปสู่ WAPSITE ในการโฆษณาสินค้าและบริการ ซึ่งจะมีรายละเอียดเป็นรูปภาพและราคาสินค้าสามารถเพิ่มยอดขายในการเจาะตลาดแบบเฉพาะเจาะจงได้ทันที

  • ราคาถูก สะดวกต่อการใช้งาน และ วัดผลได้
  • สร้างความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีในการส่งข้อความข่าวสาร ดีกว่าการส่ง Direct Mailเดิม
  • สามารถทำ SMS คูปองในการให้ส่วนลดกับลูกค้ารายย่อยได้บริการ SMS to Keep Message (SKM): บริการส่งข้อความSMS จำนวนมากสามารถให้ผู้รับตอบรับ Message จากโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ทันทีผู้ใช้บริการสามารถใช้พื้นที่ในการสร้าง WAPSITE ได้ที่ http://www.shinee.com/plaza สามารถใส่ข้อความรูปภาพสินค้าและบริการ ในการสร้างร้านค้าบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยใช้ระยะเวลาเพียง 15 นาที ซึ่งทางร้านค้าจะมี URL ในการให้ลูกค้าเข้าดูสินค้าและบริการบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ได้เชื่อมต่อผ่านระบบ GPRS ซึ่งสามารถสร้างความประทับใจสำหรับลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมให้เห็นถึงสินค้าได้ทันทีทุกที่ทุกเวลา

3. บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน)ผู้ทำตลาดน้ำอัดลม Pepsi นำ SMS Marketing เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำตลาด ผ่านแคมเปญกระตุ้นยอดขาย Pepsi อาทิ ดื่ม Pepsi ลุ้นรับโชคทอง โดยลูกค้าที่เปิดฝา Pepsi พบข้อความบนฝาแล้วส่ง SMS กลับมาร่วมลุ้นโชค นอกจากนี้ Pepsi ยังใช้เว็บไซต์ในการให้ข้อมูลการตลาด และโปรโมชั่นที่ส่งเสริมกิจกรรมผ่าน Mobilemarketing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาดมากขึ้น

Conclusion
เนื่องจากโทรศัพท์ได้กลายมาเป็นปัจจัยที่ 5 หรือ 6 ของวิถีการดำเนินชีวิตประจำวัน ก็จะผลักดันให้ Mobile Marketing เติบโตและขยายวงกว้างขึ้นตามลำดับ ทั้งในแง่ของการใช้งาน และรูปแบบของบริการที่นำเสนอหลากโฆษณาผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ จุดเด่นของการโฆษณาบนเคลื่อนที่อยู่ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างตรงกลุ่ม มากที่สุดกว่าบรรดาสื่ออื่นๆ ที่ใช้กันอยู่ เนื่องจากผู้ให้บริการและเจ้าของสินค้าจะมีฐานข้อมูลส่วนตัวพื้นฐานของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเจ้าของหมายเลขอยู่แล้วแนวโน้มสื่อดิจิตอลเติบโต โทรศัพท์เคลื่อนที่ไทยจากจำนวนผู้ใช้กว่า 23 ล้านเลขหมาย เป้าหมายใหม่ผู้ประกอบการสร้างช่องทางแบบเข้าหาถึงตัวผู้ใช้ ช่องทางหารายได้ใหม่เพื่ออนาคตผู้ให้บริการเครือข่าย ลดจุดอ่อนอัตราการเติบโตผู้ใช้ลดลง ความเคลื่อนไหวที่เห็นได้จากการทำตลาดของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่าง AIS ที่หันมาสร้างกระแส Mobile Marketing โฆษณาผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ภายใต้บริการ Mobile Advertising สื่อโฆษณาช่องทางใหม่ ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคแบบ One-to-One Marketing

Key success factor Mobile Marketing

1. การพัฒนาการของ Mobile phone& 3G Network Technology เป็นสิ่งที่เป็นตัวกำหนดขอบเขตความสามารถและความเป็นไปได้ ในการประยุกต์ใช้งาน Mobile marketing ยิ่ง Technology พัฒนาไปมากเท่าไร วิธีในการนำเสนอกลยุทธ์ Mobile marketing ก็จะมีความซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น

2. การมีระบบพื้นฐาน Payment billing system (M-payment) ซึ่งช่วยให้การทำCommerce เกิดขึ้น เป็น แรงผลักดันให้เกิดการความต้องการทำ Mobile Marketing อย่างแพร่หลายตามมา

3. ราคาในการใช้บริการ Mobile internet ต้องไม่แพงเกินไป ทำให้เกิดการเข้าไปใช้งานได้อย่างแพร่หลาย

4. การมีผู้ให้บริการ Content Provider ที่มีคุณภาพและมากพอจะทำให้เกิด Demand จากผู้บริโภคได้

5. การแบ่งผลประโยชน์ที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง Mobile operator กับ Content Providerธุรกรรม M-

6. การมีตลาดฐานลูกค้า Database ที่มีคุณภาพ จากการทำกลยุทธ์ Buildà Maintain à Utilize

7. การให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับสื่อการตลาดใหม่นี้

8. การสร้างช่องทางสื่อสารให้ระหว่างธุรกิจกับลูกค้า

แนวโน้มอนาคตตลาด Mobile Marketing

· 3G – Wireless broadband – Multicasting

· TV/Radio Station on mobile

· Ads on Demand

Mobile Marketing มีประโชน์คือ

  • ความฉับไว ถือเป็นจุดเด่นของการตลาดแบบ Mobile Marketing เลยทีเดียว เพราะเพียงแค่ไม่กี่วินาที ลูกค้าก็จะได้รับโปรโมชั่นหรือข่าวสารกิจกรรมจากบริษัท
  • ราคาถูก ไม่ต้องเสียค่า air time หรือค่าไปรษณีย์ แถมยิ่งส่งมาก ราคาก็จะยิ่งถูกลงไปอีก ทำให้ผู้ประกอบการมากมายหันมามองการตลาดแบบ   Mobile Marketing  นี้กันมากขึ้น
  • กระจายไปในวงกว้าง ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่ต้องกลัวว่าข่าวสารนั้นจะตกหล่นสูญหายหรือส่งไม่ถึงมือ จึงทำให้การตลาดแบบ  Mobile Marketing  เป็นการลงทุนที่ไม่เสียเปล่าเลยทีเดียว
  • การตอบรับค่อนข้างดี ค่าเฉลี่ยของการตลาดแบบ   Mobile Marketing  อยู่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าการส่งแบบ direct mail ซึ่งมีการตอบรับเฉลี่ย 2-3 เปอร์เซ็นต์เสียอีก
  • เจาะกลุ่มได้ตรงกว่า เพราะการตลาดแบบ  Mobile Marketing  สามารถกำหนดให้ส่งสารแต่ละประเภทให้ผู้รับแต่ละกลุ่มได้ด้วย
  • เข้าถึง เพราะเดี๋ยวนี้ทุกคนมีมือถือและใช้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการตลาดแบบ  Mobile Marketing ก็ส่งตรงและเข้าถึงผู้คนได้เป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็ตาม ไม่ต้องคอยรับหรือคอยเช็ค
  • วัดผลได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการดูจากการเข้าไปตามลิงก์ที่แนบไป การดาวน์โหลดข้อมูลเพิ่มเติม และอื่นๆ ตามแต่วิธีทางการตลาดนั้นๆ และการตลาดแบบ  Mobile Marketing นี้ยังวัดผลได้อย่างรวดเร็วฉับไวอีกด้วย
  • นำไปสู่การบอกปากต่อปาก เพราะผู้รับได้รับข้อมูลข่าวสารไวและสามารถนำไปแชร์ต่อได้ง่าย การตลาดแบบ Mobile Marketing จึ่งเพิ่มโอกาสได้รับการบอกต่อแบบปากต่อปาก

Cr.http://lodisian.blogspot.com/2006/08/group-project-mobile-marketing.html

 

WOMM หรือ Word of Mouth Marketing

word-of-mouth-marketing-infographic

เพราะวันนี้ผู้บริโภคไม่ไว้ใจในโฆษณาอีกต่อไปแล้ว การตลาดพลังบอกต่อปากต่อปากหรือ Word of mouth จึงเป็นรูปแบบการโฆษณาที่ดีและน่าเชื่อถือมากที่สุดในขณะนี้ ดังนั้นเรื่องราวของ WOMM หรือ Word of Mouth Marketing จึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักการตลาดไม่ควรมองข้าม

 

แม้วันนี้การทำการตลาดในปัจจุบันธุรกิจส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญไปที่การทำการตลาดโดยใช้สื่อดิจิตอล ทั้งโซเชียลมีเดีย, อีเมลหรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ จนอาจทำให้หลงลืมและมองข้ามวิธีดั้งเดิมที่ทรงอิทธิพลอย่างการบอกต่อแบบ “ปากต่อปาก” ไปโดยสิ้นเชิง แต่ในความจริงแล้วกลยุทธ์ปากต่อปากนี่เองที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดต่อกลุ่มของผู้บริโภคไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม

การทำการตลาดแบบ “ปากต่อปาก” (WOMM หรือ Word of Mouth Marketing) เป็นรูปแบบในการทำการตลาดที่มีการใช้งานกันมาอย่างยาวนาน โดยนักการตลาดส่วนใหญ่มักจะนำกลยุทธ์ปากต่อปากมาใช้งานเมื่อต้องการสร้างกระแสให้กับสินค้าและการบริการของตัวเองเพื่อให้เป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นรูปแบบในการทำการตลาดที่ได้ผลในวงกว้าง แถมสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วแถมยังใช้เงินลงทุนต่ำ

จากการสำรวจข้อมูลของเว็บไซต์ Getambassador.com ระบุว่ากลยุทธ์การทำตลาดโดยการบอกต่อแบบปากต่อปากยังคงเป็นวิธีที่มีอิทธิพลต่อผู้บริโภคในการซื้อสินค้าสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 54% ในขณะที่การตลาดรูปแบบอื่นอย่าง การทำโฆษณาทางวิทยุ, ทีวี หรือแม้แต่การส่งจดหมายกลับมีอิทธิพลในการกระตุ้นการซื้อสินค้ารองลงมาเพียงครึ่งหนึ่งของกลยุทธ์แบบปากต่อปากเท่านั้น

Getambassador.com ยังพบว่า ในแต่ละวันชาวอเมริกันมีการพูดถึงและบอกต่อเกี่ยวกับสินค้าเป็นสัดส่วนมากถึง 76% ของผู้บริโภคทั้งหมด โดยมีการพูดถึงแบรนด์สินค้าเฉลี่ยอยู่ที่ 10 แบรนด์ต่อวัน ซึ่งกว่า 70% ของแบรนด์ที่ถูกพูดนี้ถึงมาจากการบอกต่อและแนะนำแบบปากต่อปากนั่นเอง

นอกจากนี้อิทธิพลของการบอกต่อแบบปากต่อปากในด้านบวกนั้น ยังสามารถแพร่กระจายไปได้ไวและรวดเร็วกว่าข่าวในด้านลบถึง 6 เท่าตัว ซึ่งอิทธิพลของการบอกปากต่อปากนี้เองพบว่าเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการซื้อสินค้าของผู้บริโภคคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 90% ของผู้บริโภคทั้งหมดเลยทีเดียว

เมื่อรู้แบบนี้แล้ว การมองหาจุดเชื่อมต่อระหว่างดิจิตอลมาร์เก็ตติงและกลยุทธ์ดั้งเดิมอย่าง “การบอกต่อปากต่อปาก” ก็ถือเป็นเรื่องที่นักการตลาดทุกคนไม่ควรพลาด

6 กลยุทธ์ สร้างยอดขาย แบบปากต่อปาก (Word of Mouth)

เชื่อว่าคุณคงเคยอยู่ดี ๆ ก็มีโทรศัพท์เบอร์แปลก ๆ ล่าสมาชิกจากฟิตเนสชื่อดัง ด้วยการแจ้งว่าคุณคือผู้โชคดีที่ได้รับสิทธิพิเศษไปออกกำลังกายฟรีโดยไม่มีเงื่อนไข  

งานวางแผนการตลาด

วิธีการเจาะลูกค้าตรงด้วยการมอบสิทธิประโยชน์แบบนี้ ก็อาจจะได้ผลบ้าง แต่เผอิญกลยุทธ์การล่าเหยื่อทางโทรศัพท์ของแก๊งมิจฉาชีพมีกรณีศึกษาเยอะจนน่าหวาดกลัว ทำให้การทำการตลาด ลักษณะนี้สุ่มเสี่ยงต่อการเจอปฏิกิริยาตอบกลับจากปลายสายในทางลบอยู่มากทีเดียว เพราะลำพังการสนทนาไม่สามารถมีอะไรการันตีได้เลยว่าสิทธิประโยชน์ที่เสนอให้ลูกค้านั้น เป็นสิ่งจับต้องได้จริง

หรืออีกประสบการณ์ตรงที่ใกล้เคียง คือจดหมายเสนอบริการทำบัญชี จากสำนักงานบัญชีสารพัดสำนัก ที่คงได้รายชื่อการจดทะเบียนบริษัทใหม่ ก็กระหน่ำส่งจดหมายเชิญชวนเสนอบริการในทุกระดับราคา ด้วยโปรโมชั่นสารพัดรูปแบบ แต่ประเด็นสำคัญ คือ จะเชื่อได้อย่างไรว่า บริษัทเหล่านี้เชื่อถือได้ ไม่มาทำมิดีมิร้ายกับบัญชีของบริษัทฯ นั่นแหละคือปัญหา ที่ทำให้สุดท้ายต้องไหว้วานคนรู้จักมาทำให้อยู่ดี

แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นฟิตเนสดี ๆ หรือคนทำบัญชีเก่ง ๆ เป็นข้อเสนอที่ลูกค้าอยากรับ แต่ “ความน่าเชื่อถือ” และ “ความไว้วางใจ” ต่างหากที่ทำให้เกิดช่องว่าง ทำให้สินค้าและบริการเหล่านั้น เจาะไม่ได้ เข้าไม่ถึง

การสร้างความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจนี่แหละ ที่เป็นสิ่งที่ยากและท้าทายกว่า ในการเจาะเข้าไปในกล่องดำของผู้บริโภค แต่ไม่ได้ยากเกินกว่าที่จะทำได้แน่นอน สิ่งสำคัญคือการตลาดลักษณะนี้ เป็นกลยุทธ์เริ่มต้นของ word of mouth ที่จะช่วยแพร่กระจายข่าวสาร และเร่งยอดขายแบบประหยัดงบที่สุด แต่ก็ต้องครบถ้วนด้วยองค์ประกอบสำคัญในการสร้างส่วนผสมที่จะทลายกำแพงสร้างความน่าเชื่อถือในใจผู้บริโภคได้ ซึ่งหากเราเข้าไปนั่งในใจของลูกค้าได้ ลูกค้าก็จะกลายเป็นผู้บอกต่อ (Talker) กระจายข้อมูลสินค้า หรือบริการให้กับเราโดยปริยาย

ประการแรก ต้องหมั่นสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าที่จะกลายเป็นผู้บอกต่อให้กับเรา (Cultivate key talkers) จ.ม.ฉบับแรก หรือโทรครั้งแรกต้องไม่ใช่การมุ่งขาย แต่เป็นการสร้างมิตรภาพล้วน ๆ เพราะปฏิกิริยาตอบกลับของลูกค้า คงทำให้เราพอจะประเมินได้ว่า เราจะเอาชนะใจลูกค้ารายนี้ได้อย่างไร การใช้ จ.ม. จะเป็นวิธีการที่รบกวนลูกค้าอย่างสุภาพ แต่ข้อความที่เป็นมิตรจะเชิญชวนให้ลูกค้าเปิดอ่าน และเปิดใจได้ง่ายกว่าการใช้โทรศัพท์

ประการต่อมา ใช้ของสมนาคุณ และงบการตลาดให้เกิดประโยชน์ (Use samples) อย่าขี้เหนียวเลย เพราะลูกค้าจะไม่มีวันพูดถึงสินค้าของเรา ถ้าหากเขาไม่รู้จักหรือเคยเห็นสินค้าเรามาก่อน ลองนึกเปรียบเทียบดูระหว่างสิทธิพิเศษของฟิตเนสที่เซลส์แปลกหน้าโทรเชิญชวนให้ไปรับ กับอยู่ ๆ มีคูปองหรือบัตรสมาชิกเทียบเชิญมาถึงบ้าน โอกาสที่จะได้ลูกค้าหรือลูกค้าเอาไปแจกจ่ายกระจายให้เพื่อนฝูงให้ไปใช้บริการอย่างไหนจะมีมากกว่ากัน และถ้าเป็นสินค้าที่อยากให้ลูกค้าลองใช้ พวก sampling ต่าง ๆ ที่จ้างพริตตี้ไปยืนแจกหว่านให้ใครก็ไม่รู้ หากแปลงงบประมาณและจัดส่งไปยังลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ ให้สัมผัสได้ถึงความพิเศษเป็นการเฉพาะ ย่อมสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจ ในการถูกยกย่องของลูกค้า และจะยินดีเป็นทูตประชาสัมพันธ์สินค้าของเราในหมู่คนรอบข้างด้วยความยินดี

ประการที่สาม ปริมาณที่ส่งของไปให้ลูกค้าลองใช้บริการ สามารถกลายเป็นสร้างเทคนิคการกระจายข้อมูลสินค้าแบบง่ายๆ (Make it easy to spread the word) เพราะปริมาณของที่มีมากกว่าหนึ่ง ก็เป็นเครื่องมือในการที่ลูกค้าจะช่วยแจกจ่ายไปสู่คนรอบข้าง หรือจะใช้วิธีส่งโปสการ์ดเก๋ ๆ ดีไซน์เท่ ๆ ชุดใหญ่ แทรกข้อมูลสินค้าแบบไม่ยัดเยียด ไปให้ลูกค้าไว้ใช้ในโอกาสต่าง ๆ ช่วยกระจายข้อมูลสินค้าอีกทาง

ประการที่สี่  ให้สิทธิพิเศษที่จะทำให้ลูกค้าของเราดูดี มีความ “เหนือ” กว่าในการสร้างแรงจูงใจ หรือความภาคภูมิใจในการบอกต่อ (Make your talkers look good) ถ้าไปใช้บริการแล้วบอกว่าเขาแนะนำมาจะได้ส่วนลดเพิ่มเติม หรือได้รับของสมนาคุณเป็นกรณีพิเศษ เทคนิคเหล่านี้ใช้ได้ผลเสมอมา

ประการที่ห้า ต้องเพิ่มความโดดเด่นให้ข้อมูลที่จะให้เกิดการบอกต่อ (Add remarkable features) ลำพังความโดดเด่นของสินค้าและบริการ อาจจะ
ไม่มากพอในการสร้างความน่าสนใจในการกระจายข่าว อาจสร้างลูกเล่นให้หีบห่อ ด้วยกระดาษรีไซเคิลช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน เพื่อเป็นการจุดประกายในการสนทนาให้มีประเด็นมากขึ้นและเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าอีกทางหนึ่งอีกด้วย

สุดท้าย สำคัญที่สุด ต้องมั่นใจในตัวสินค้าและบริการเองว่ามีคุณภาพและน่าสนใจ (Create a fantastic product) ไม่อย่างนั้น อุตส่าห์ลองให้ลูกค้าใช้บริการ แล้วพบกับความผิดหวัง word of mouth จะกลายเป็น worst of mouth พังพาบด้วยปากบอกต่อได้เหมือนกัน

 

Content Marketing

content_marketing

คำว่า Content Marketing อาจจะดูไม่ค่อยเกี่ยวกับนักพัฒนาเว็บไซต์เท่าไรนัก แต่สำหรับเพื่อนๆ คนไหน ที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง หรือมีแผนจะทำธุรกิจโดยใช้เว็บเป็นสื่อแล้วล่ะก็ Content Marketing นั้นถือเป็นเรื่องที่เรามองข้ามไม่ได้เลยล่ะครับ

รู้จักกับ Content Marketing

ในชีวิตประจำวันเราคงจะพบเห็นโฆษณามากมายรอบตัวเรา โดยโฆษณาเหล่านี้มักจะเน้นไปที่การขายของหรือบริการต่างๆ ไม่ว่าโฆษณานั้นจะออกมาในรูปแบบใดแต่สุดท้ายก็มักจะลงเอยที่การหว่านล้อมให้เราเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากเค้าอยู่ดี

ในทางกลับกัน Content Marketing จะเป็นการนำเสนอ “Content” ซึ่งก็คือ “เนื้อหาที่มีประโยชน์” ให้กับผู้บริโภค โดยมีจุดประสงค์หลักก็คือ เพื่อทำให้ผู้บริโภครู้สึกประทับใจจนสามารถจดจำ Brand สินค้าได้ และเกิดความความจงรักภักดีใน Brand สินค้า(Brand Loyalty)  ในที่สุด

จริงๆ แล้วเป้าหมายลึกๆ ของ Content Marketing ก็คือการขายอยู่ดี เพียงแต่จะเน้นไปที่การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของผู้บริโภคให้ได้ก่อน แล้วเมื่อนั้นผู้บริโภคก็จะเลือกใช้สินค้าหรือบริการของเราเองโดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปจูงใจอะไรเค้ามากนัก

รูปแบบของ Content Marketing

บทความ

ใครๆ ก็ชอบอ่านเนื้อหาดีๆ มีประโยชน์มากกว่าอ่านเนื้อหาที่มีแต่ข้อความโฆษณาขายของ การจะทำให้ผู้บริโภคประทับใจ เราอาจใช้วิธีเขียนบทความเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้บริโภคกำลังให้ความสนใจอยู่ ให้เราดูว่าเนื้อหาอะไรกำลังเป็นที่นิยมในขณะนั้นและมันยังไม่เคยมีใครเขียนมาก่อนหรืออาจมีคนเขียนแล้วแต่มันยังไม่ดีพอ วิธีนี้ถือเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ได้ผลดีมาก และถ้าเราสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ ผู้บริโภคก็จะเกิดความประทับใจในตัวเรา แต่อย่าลืมว่าเนื้อหาที่เราเลือกมานั้นจะต้องสื่อไปถึง Brand ของเราได้ด้วย

รูปภาพ / Infographics

คนเราไม่ชอบอ่านเนื้อหาอะไรยาวๆ บางทีการใช้รูปภาพที่สามารถสื่อความหมายได้ดีอย่าง Infographics กลับสามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้ดีและรวดเร็วกว่า เรามักจะเห็นหลายๆ บทความที่ใช้ Infographics ในการทำให้ผู้บริโภคเข้าใจภาพรวมของเนื้อหาที่เข้าใจยากหรือซับซ้อน โดยเฉพาะพวกเนื้อหาที่เกี่ยวกับแผนภาพหรือการเปรียบเทียบสถิติอะไรบางอย่าง นอกจากนั้น วิธีนี้ยังสามารถใช้สีสันที่สดใสเข้ามาช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้อีกด้วย

วิดีโอ

อีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ เลยก็คือการใช้วิดีโอ สมมติธุรกิจของเราเป็นการสอนทำเว็บไซต์ออนไลน์ เราก็อาจจะสร้างวิดีโอสอนการทำเว็บไซต์ที่เป็นคอร์สในระดับเริ่มต้นมาให้ผู้บริโภคได้ดูกันฟรีๆ ก่อน เมื่อผู้บริโภคได้ความรู้โดยที่ไม่เสียเงินเลยสักบาท เค้าก็จะรู้สึกประทับใจและบอกต่อๆ กันไปเอง ซึ่งจะช่วยให้เรามีโอกาสที่จะได้ลูกค้าที่ต้องการจะเรียนคอร์สระดับที่สูงขึ้น ถึงแม้ว่าการใช้วิดีโอในการทำ Content Marketing จะมีข้อเสียนิดหน่อยตรงต้นทุนที่ค่อนข้างจะเยอะกว่ารูปแบบอื่นๆ แต่ข้อเสียนี้กลับกลายเป็นข้อดีตรงที่ผู้บริโภคจะเห็นถึงความพยายามที่จะนำเสนอเนื้อหาที่มีประโยชน์ของเรา

Social Media

อีกรูปแบบหนึ่งที่เรามองข้ามไม่ได้เลยก็คือ Social Media เพราะถือเป็นช่องทางที่สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วมากที่สุดช่องทางหนึ่งเลยทีเดียว ให้เราสร้างแฟนเพจของ Brand ขึ้นมา แล้วคอยอัพเดทข่าวสาร คอยตอบคำถามให้ความช่วยเหลือเวลามีผู้บริโภคสงสัยอะไรด้วยถ้อยคำที่แสดงถึงความยินดีและจริงใจ เพียงเท่านี้ เราก็จะสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ Brand ของเราได้แล้วล่ะครับ

ทำ Content Marketing แล้วได้อะไร ?

ผู้คนจดจำเราได้

ประโยชน์ที่เห็นชัดๆ ที่สุดของการทำ Content Marketing เลยก็คือ ทำให้ผู้บริโภครู้ว่ามี Brand ของเราอยู่บนโลกใบนี้ หลายๆ คนอาจไม่เคยได้ยินชื่อ Brand ของเรามาก่อน แต่เค้าก็มารู้จักเราจากการบอกต่อๆ กัน หรือจากการแชร์เนื้อหาของเราผ่านทาง Social Media

ลูกค้ารักเรา

เมื่อสร้าง Brand Awareness ได้แล้ว สิ่งที่ควรสร้างต่อมาก็คือ Loyalty หรือความจงรักภักดีที่ผู้บริโภคมีให้กับเรา ดังนั้นเราควรแน่ใจว่าเนื้อหาที่เราสร้างขึ้นมานั้นมีประโยชน์กับผู้บริโภคจริงๆ ไม่ใช่เน้นแต่จะขายของท่าเดียว

ได้ลูกค้าเพิ่ม / คนเข้าเว็บมากขึ้น

เพราะผู้บริโภคสามารถจดจำ Brand ของเราได้แล้ว และเค้าก็ยังรักเราอีกด้วย จึงมีแนวโน้มว่าเราจะได้ลูกค้าเพิ่มมากขึ้น และหากเรามีเว็บไซต์ หรือแฟนเพจ การที่มีลูกค้าเพิ่มขึ้นย่อมจะทำให้ traffic ของเว็บไซต์เราเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย การประชาสัมพันธ์ข่าวสารอะไรก็จะสามารถทำได้สะดวก

ยอดขายเพิ่มขึ้น

สุดท้ายแล้วเงินก็ไม่หนีไปไหน เมื่อเราสามารถทำให้ผู้บริโภคยินยอมจ่ายเงินให้เราได้อย่างเต็มใจที่สุด โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปโฆษณาอะไรมากมายเลย

Content Marketing vs Advertising

การโฆษณาในรูปแบบเดิมๆ นั้นจะเน้นไปที่การขายเสียส่วนใหญ่จนอาจไปทำให้ผู้บริโภคบางคนไม่ชอบเพราะรู้สึกว่ากำลังถูกหว่านล้อมอยู่ แต่มันก็มีข้อดีอยู่เหมือนกันตรงที่จะเห็นผลค่อนข้างเร็วหากคอยทำอยู่เรื่อยๆ ส่วนการทำ Content Marketing นั้นจะไม่ได้เน้นที่การขายเป็นหลัก แต่จะให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นใน Brand สินค้าให้กับผู้บริโภคโดยการให้ความรู้จากเนื้อหาที่มีประโยชน์ ถึงแม้ว่าการทำ Content Marketing อาจจะเห็นผลได้ช้ากว่าการโฆษณาแบบตรงๆ แต่ผลที่ได้กลับมานั้นคุ้มค่าและยั่งยืนกว่า

 

Affiliate Marketing

Affiliate หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า นักการตลาดอิสระ หรืออีกนัยก็คือ ตัวแทนโฆษณา, ตัวแทนขาย

จากที่เราเห็นในภาพนั้น เริ่มแรกจากฝั่งซ๊ายมือสุดคือ ตัวเจ้าของผลิตภัณฑ์ หรือสินค้า (Product)โดยปกติเมื่อผู้ผลิตมีสินค้าเกิดขึ้น แล้วเค้าต้องการให้สินค้าของเค้าขายได้ เค้าก็ต้องทำการตลาดถูกไหมครับ?

แล้วเมื่อเจอกับโจทย์นี้ เขาจะแก้ไขปัญหาอย่างไร?

คำตอบคือ…

จุดกำเนิดของ Affiliate Marketing

ปัญหาของเจ้าของสินค้าส่วนใหญ่ก็คือ ทำการตลาดไม่เป็นหรือต้องการให้สินค้าของตนเองเกิดยอดขายที่มากขึ้น… มันก็เลยเกิดเป็นโมเดลนี้ขึ้น

โดยเจ้าของสินค้าจะจ่ายผลตอบแทนให้กับสมาชิกเป็นคอมมิสชั่น เมื่อสมาชิกท่านนั้นสามารถโปรโมทและขายสินค้าได้

รูปแบบของ Affiliate Marketing

ก็คือ ผู้ผลิตมีสินค้าและจัด Program ขึ้นมาให้ผู้เข้าร่วมไปสมัครเป็นสมาชิก

และนำสินค้าของเค้าไปโฆษณาหรือทำการตลาดออนไลน์ (Internet Marketing) และมีคนสนใจในสินค้า ผู้ซื้อจะทำการไปซื้อสินค้ากับทางผู้ผลิต หรือเจ้าของสินค้าโดยตรง โดยผ่าน Tracking Link หลังการตรวจสอบและมีการซื้อสินค้ากันเกิดขึ้น เจ้าของสินค้าจะจ่ายผลตอบแทนเป็น Commissions ให้กับสมาชิกผู้นั้น

โดยส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะนำสินค้าไปฝากขายกับ Provider (ผู้ให้บริการตัวแทนขาย) หรือนำไปวางตาม Market Place ต่างๆ และ Provider ก็จะมี Programs ของเค้าอยู่แล้ว ซึ่งสมาชิกก็จะนำสินค้าเหล่านั้นไปทำการตลาดต่อ

Affiliate Provider ดังๆ ก็จะมีดังนี้

  • Amazon
  • CJ
  • ClickBank

คุ้นหน้าคุ้นตากันนะครับ

ถ้าพูดถึงในประเทศไทยเองเราก็คงไม่พูดถึง Lazada ไม่ได้ เพราะนี่เป็นเจ้าใหญ่เจ้าหนึ่งที่มีคนไทยมากมายเข้าไปเริ่มต้นหาเงินจากที่นั่น

และอีกอย่างมันยังเป็นเว็บไทย ไม่เหมือนเราทำกับพวก Amazon, CJ, Clinkbank ที่สินค้าส่วนใหญ่ถูกขายให้กับฝรั่ง แล้วเวลาเราทำการตลาดก็ต้องเขียนภาษาอังกฤษทั้งหมด ซึ่งนี่คือปัญหาหนึ่งที่ทำให้หลายคนท้อและเลิกไป

Affiliate Marketer ทำหน้าที่อะไรบ้าง ?

จากที่เราเห็น นั่นคือ การทำการตลาดเท่านั้น ไม่ใช่นักขายหรือนักชวนอย่างที่หลายๆคนเข้าใจผิดกัน

กระบวนการสำคัญของมันก็คือการทำให้คนสนใจในสินค้า และเกิดแรงกระตุ้นในการซื้อ ซึ่งนั่นเค้าเรียกว่า การทำการตลาด

เพราะนักขายคือคนที่ต้องขาย รับเงินจากผู้บริโภคโดยตรง แต่ไม่ใช่

สิ่งที่เราต้องทำก็แค่ เข้าไปสมัครเป็นสมาชิกของ Programs แล้วก็เลือก Product ที่จะนำมาโปรโมท หลังจากนั้นก็ทำการ Get Link และนำ Tracking Link ไปโปรโมท เมื่อมีคนเข้ามาผ่านลิงค์ของเราแล้วเค้าเกิดซื้อ Product ชิ้นนั้นขึ้นมา เราก็รับส่วนแบ่งเป็น Commission ตามแต่ % ที่เจ้าของ Product ได้ตกลงไว้

ในกระบวนการของการทำการตลาดออนไลน์ก็มีรายละเอียดยิบย่อยลงไปอีก ว่าเราจะทำยังไงให้เกิดยอดเยอะๆ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติอะไรมากมายครับ แต่รายละเอียดก็เยอะพอสมควรครับ ต้องเขียนเป็นบทความยาวๆอีกบทเลยทีเดียว

ทำยากไหม ?

ความยากของธุรกิจนี้มีเพียงข้อเดียว นั่นคือ การไม่ลงมือทำ เพราะในยุคสมัยใหม่ ผู้คนนิยมซื้อสินค้าผ่าน internet และมีอัตราการเติบโตในตลาดเป็นจำนวนมหาศาล

สิ่งอำนวยในยุคปัจจุบัน จึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด รวมถืงหนังสือความรู้ต่างๆ และแม้กระทั่งเว็บไซด์ FunNyBiz เองก็สอนสิ่งเหล่านี้ได้ดีไม่แพ้ที่อื่น

อีกข้อหนึ่งที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงก็คือ เรื่องของตัวสินค้า

สินค้าเองก็แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ…

  • สินค้าที่จับต้องได้ (Physical Product) ก็พวก สบู่ ยาสีฟัน เครื่องตัดหญ้า ตุ๊กตาหมี หรือ เฟอร์บี้
  • สินค้าที่จับต้องไม่ได้ (Digital Product) ไฟล์เสียง, ไฟล์เพลง, วีดิโอ, eBooks, Software ต่างๆ

จะเห็นว่ามันไม่จำกัดแต่เพียงสินค้าที่จับต้องได้อย่างเดียว อีกอย่างสินค้าจับต้องไม่ได้อย่าง Digital Product ก็กำลังมีการเติบโตในตลาดที่สูงมากทีเดียว และมันยังทำตลาดได้ง่ายกว่าสินค้าที่จับต้องได้อีกด้วย

ข้อดีของการทำ Affiliate

ไม่จำเป็นต้องมีสินค้าและบริการ – แน่นอนอย่างที่เราเห็นว่าเราเป็นเพียง นักการตลาด ที่คอยหยิบจับสินค้าของผู้ผลิตมาทำการตลาด หรือทำการโฆษณา เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือหาวิธีให้ผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บของเรา คลิกไปที่ Tracking Link เพื่อเริ่ม Order สินค้าเท่านั้นเอง

สร้างรายได้รวดเร็ว ง่าย และ มหาศาล – ต้องบอกกันตามตรงว่าบนโลกของ ธุรกิจออนไลน์ ช่องทางนี้นับเป็นช่องทางรายได้ที่อยู่มาช้านานและเป็นสากล มีผู้ทำกันทั่วโลก และสามารถสร้างรายได้ ได้อย่างมหาศาลหากคุณคิดจะสร้างอาชีพจากนักธุรกิจออนไลน์จริงๆ นี่คือหนึ่งในช่องทางรายได้บน internet ที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี

ไม่จำเป็นต้องมีเว็บไซด์ที่สลับสับซ้อน – ถึงแม้คุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเว็บไซด์ บางคนอาจใช้เว็บฟรีหรือ blog ฟรี ในการเริ่มต้นภารกิจล่าขุมทรัพย์บนโลกออนไลน์ ถึงกระนั้นโดยส่วนตัวผมแนะนำว่าควรมีเว็บเป็นของตัวเองมากกว่า แต่สิ่งที่คุณต้องเรียนรู้เป็นเพียงการสร้างเว็บไซด์แค่พื้นฐานเท่านั้น คุณอาจเรียนรู้ code html แค่พื้นฐานเพื่อให้สร้างเว็บไซด์ได้ ไม่จำเป็นเลยที่ต้องสร้างเว็บไซด์ขั้นสูง เพราะหน้าที่ของเราเพียงแค่การทำการตลาดออนไลน์ เท่านั้น

อยากเริ่มต้นทำ Affiliate ต้องเตรียมอะไรบ้าง ?

สิ่งที่คุณต้องเตรียมตัวเตรียมใจมาอย่างดี นั่นคือ ความพร้อมต่อการเข้าสู่โลกของธุรกิจออนไลน์ จริงๆ เพราะผมเองไม่เคยนับการหารายได้ผ่านเน็ต เพียงแค่อัพโหลดไฟล์ คลิกโฆษณา หรือแค่สมัครเข้าไปวิ่งเล่นในเว็บต่างๆ เป็น ธุรกิจออนไลน์ เลยแม้แต่น้อย

สิ่งเหล่านั้น เป็นเพียงช่องทางรายได้หยุมหยิม ที่เด็กๆเค้าทำกันเล่นๆ เพราะรายได้มันน้อยและอัตราการเติบโตมีไม่มากนัก บางเว็บพอกระแสเริ่มซาก็หนีหากตายจาก แต่ถ้าหากคุณจริงจังและตั้งใจจะสร้างรายได้อันมหาศาลจากโลกออนไลน์จริงๆ คุณก็ควรเริ่มต้นศึกษามันได้แล้ว

ทักษะพื้นฐานที่ควรมี

  • ใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตเป็น
  • มีใจรักในการเรียนรู้ เพราะเมื่อก้าวเข้าสู่โลกนี้ คุณได้อ่านบทเรียนความรู้ต่างๆ เพียบแน่

ต้องการพื้นฐานแค่นี้ คิดว่ายากไปไหม?

ในการทำเงินบนโลกออนไลน์จนไปถึงขั้นการสร้างธุรกิจออนไลน์ของตัวท่านเอง การเข้าใจช่องทางทำเงินต่างๆนับว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก

และโมเดลนี้ก็เป็นหนึ่งอย่างที่ทำได้ไม่ยาก แต่มันก็ไม่ง่ายเช่นกัน

ถ้าคุณเป็นมือใหม่ในโลกนี้จริงๆ ผมแนะนำให้คุณเริ่มจาก Affiliate ครับ

โดยถ้าคุณเลือกและสนใจที่จะทำ Affiliate Marketing จริงๆ คุณควรจะเรียนรู้ 5 เรื่องสำคัญ สำหรับการทำ Affiliate Marketing ดังนี้

  1. การเข้าใจในสินค้าที่เรากำลังจะขายว่า เหมาะกับใคร และ ใครจะซื้อ รวมถึง ศึกษาข้อมูลว่า คนเหล่านั้น มีพฤติกรรมบนโลกอินเตอร์เนตอย่างไร
  2. ศึกษาเรื่องโฆษณาต่างๆ โดยเฉพาะโฆษณาแบบ CPC (Cost-Per-Click) ที่ส่งโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมาย เช่น facebook ads, google adwords, adnetwork ที่ช่วยให้คุณสามารถส่งโฆษณาที่เหมาะสมไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้ (เพราะ CPC Ads จะเสียค่าใช้จ่ายเมื่อมีคนคลิกเข้าไปใน link นั้น)
  3. ในกรณีที่คุณมี Blog คุณอาจจะต้องเรียนรู้เรื่องการเขียนบทความ หรือ เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆเช่นรูปถ่ายหรือ Video เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย และควรจะเรียนรู้เรื่อง SEO และ SMO ควบคู่กันไปด้วย
  4. เรียนรู้เทคนิคการสร้างตัวคนให้ดังและมีคนสนใจบน Social Network
  5. ในกรณีที่ 4 ข้อด้านบนยากเกินไป คุณอาจจะใช้วิธี Personal Selling คือขายด้วยตัวคุณเองไปก่อน และให้คนที่สนใจสินค้า เข้าไปซื้อโดยผ่าน Link ที่คุณส่งให้ คุณก็จะได้รับ Commission เช่นกัน
  6. สุดท้ายที่สำคัญมากๆ และควรระวังสำหรับการทำ Affiliate Marketing ก็คือ มีการแฝงตัวของการขายตรงในรูปแบบแชร์ลูกโซ่ตามเว็บต่างๆ ดังนั้นการเลือกเว็บ Affiliate Marketing ที่มีการรับรองจากรัฐบาล อย่างเช่นมีการลงทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์อย่างถูกต้อง พร้อมเครื่องหมาย DBD Registered หรือ ถ้าเป็นอาหารเสริม หรือ ยาต่างๆ ก็ควรจะตรวจสอบให้แน่ใจว่า สินค้าเป็นสินค้าที่มีการจดทะเบียนกับ อย. อย่างถูกต้องตามกฎหมายจริงๆ และไม่ควรจะมีค่าใช้จ่ายใดๆ ในการสมัครเป็น Affiliates เพราะเราไม่ได้ทำการ stock สินค้า แต่เราช่วยหาลูกค้าไปซื้อเท่านั้น

Affiliate Marketing ถือเป็นช่องทางหารายได้ ทั้งแบบรายได้หลักและรายได้เสริมได้เป็นอย่างดี เพียงทำความเข้าใจในตัวลูกค้าและการหาลูกค้าบน Internet โดยไม่ต้องมีสินค้า หรือความรู้ในการเขียนเว็บไซท์ ซึ่งคุณก็อาจจะทำเงินแสนต่อปีได้ไม่ยากนัก

Email Marketing

mailmarketing E-mail Marketing คือการทำตลาดด้วย E-Mail หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า (Bomb Mail) เป็นเครื่องมือการตลาดที่มุ่งเน้นสร้างฐานลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเก่าได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่ส่งเมล์เท่านั้น นอกจากจะเป็นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุดแล้ว ยังสามารถสร้างผลกำไรก้อนโตให้กับองค์กร หรือธุรกิจต่างๆ ภายใต้การลงทุนที่จ่ายน้อยกว่า เมื่อเทียบกับการทำตลาดแบบ Direct Mail และนอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร หรือ ธุรกิจต่างๆ เพราะสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่ ครั้งแรกที่ได้รับเมล์ในการแจ้งข่าวสาร ด้วยรูปแบบที่ให้คุณมีส่วนในการดีไซน์ นั่นคือ Template ที่มีคุณได้เลือกใช้ในสไตล์ที่คุณชอบและปรับเปลี่ยนได้อย่างที่ใจคุณต้องการ นั่นเอง

ข้อดีของ E-mail Marketing บริการส่งเมล์ข่าวสาร (Bomb Mail)

ข้อดีหลักๆ ของ E-Mail Marketing นั้นคือ E-Mail Marketing สามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าและสร้างลูกค้ารายใหม่ โดยการ อัพเดทข่าวสารดีๆ ไปให้ลูกค้าเก่าอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ลูกค้าเก่ารู้สึกว่าเรายังคงให้ความสำคัญและยังให้สิทธิพิเศษแก่เค้า อยู่เสมอๆจนเกิดเป็นความจงรักภักดี และเชื่อมั่นต่อเราก็จะเกิดการบอกต่อสิ่งพิเศษนี้ ไปยังเพื่อนฝูงซึ่งก็คือลูกค้าใหม่ใน อนาคตของเรานั่นเอง และสิ่งที่ตามมาก็คือจะเกิดการต่อยอดทั้งด้านรายได้และภาพลักษณ์ที่ดีอีกมากมายโดยอัตโนมัติ

bombmail

Email Marketing คือ การทำการตลาดผ่าน Email เช่น Email แจ้งข่าวสาร โปรโมชั่น หรือส่วนลดพิเศษแก่สมาชิกหรือลูกค้าของบริษัท โดยที่ผู้รับ Email ได้ยินยอมในการรับข่าวสาร นั่นหมายความว่าการทำ Email Marketing นั้นต่างจาก Spam Mail หรืออีเมล์ขยะอย่างชัดเจน Email Marketing VS Spam Mail
ปัจจุบันการมี Email เป็นของตัวเอง ไม่ได้เป็นเรื่องแปลก หรือยากเย็นอะไร แต่หลังจากที่มีมาได้ และใช้มานาน Email ของเรา ก็เกิดเป็นที่รู้จักของใครต่อใครมากมาย ส่งอะไรต่อมิอะไร ที่ไม่ได้รับเชิญมาให้เรารำคาญใจอยู่ทุกวี่ทุกวัน ซึ่งมันเยอะซะจนไม่อยากจะเปิดอ่าน แล้วคุณทราบหรือไม่ว่ามันมายังไง มาจากไหน เขารู้ Email เราได้ยังไง
Email ที่ส่งไปถึงผู้รับ โดยไม่ได้รับอนุญาต เรียกว่าการ Spam ซึ่งก็คือ Email ขยะ ชนิดหนึ่งที่ผู้รับและผู้ส่งไม่จำเป็นต้องรู้จักกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อโฆษณาสินค้าและบริการต่าง ๆ ของบริษัทตัวเอง แบบง่าย ถูก และเร็ว ( แต่ผิดกฎหมาย ) ด้วยการใช้โปรแกรมดูดเมล์อัตโนมัติตามเว็บไซต์ดัง ๆ ที่มีคนเข้าเยอะ ๆ มาเก็บไว้ อยากจะดูดกี่เว็บไซต์ก็ได้ จะมากเท่าไรก็ได้ เมื่อเราได้จำนวน Email มากมายเท่าที่ต้องการแล้ว จากนั้นเราก็เริ่มปฎิบัติการสร้างความรำคาญใจแก่ผู้คน ด้วยการใช้โปรแกรมส่งเมลล์แบบอัตโนมัติเช่นกัน ที่สามารถส่งอีเมล์ได้คราวละมาก ๆ ถึงผู้รับได้จริง แต่เขาเหล่านั้นกลับไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายเราเลยสักคนเดียว ซึ่งแตกต่างกับ Email Marketing อย่างเห็นได้ชัดคือ การที่เราจะทำ Email Marketing กับใครได้นั้น เราต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของ Email นั้นก่อน จึงจะส่งข้อมูลข่าวสารไปได้ ซึ่งดูเป็นมิตรกว่าการ Spam Mail อย่างมาก และผู้รับเองก็มีสิทธิ์ที่จะอนุญาตหรือยกเลิกการรับเมลล์ของเราได้ทุกเวลาเหมือนกัน ที่สำคัญคือถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ เพราะเขาต้องการ เราจึงส่งไป ฉะนั้น การทำ Email Marketing ในธุรกิจของคุณก็เช่นเดียวกัน เมื่อผู้คนมีความต้องการที่จะรับข้อมูลข่าวสารจากคุณแล้ว นั่นเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า สิ่งที่คุณกำลังมอบให้กับเขานั้น มันมีประโยชน์ มีคุณค่า เขาถึงยินดีที่จะรับ และยิ่งคุณให้คุณค่ากับเขามากเท่าไร ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเขาก็จะยิ่งแนบแน่นมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นนิมิตรหมายที่ดี ที่จะนำไปสู่เส้นทางธุรกิจระหว่างกันในระยะยาวต่อไป

Email Marketing มีประโยชน์อย่างไร

1. เพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้น การทำ Email Marketing ในลักษณะแจ้งโปรโมชั่นหรือส่วนลดพิเศษประจำเดือน จะส่งผลให้เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการได้มากขึ้น

2. สามารถจัดกลุ่มเป้าหมายได้ตรงกว่าการทำการตลาดประเภทอื่นๆ การทำ Email Marketing สามารถคัดแยกรายชื่อ Email เป็นประเภทตามที่ลูกค้าได้กรอกข้อมูลมา

3. กำหนดงบประมาณในการโฆษณาได้แน่นอน สามารถควบคุมเงินค่าโฆษณาได้ 100% ผลคือผู้โฆษณาสามารถจัดสรรเงินค่าโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. วัดผลโฆษณาได้ง่ายและรวดเร็ว สามารถวัดและติดตามผลได้ โดยเข้าไปดูสถิติว่า Email ที่ส่งไปนั้นมีการเปิดอ่านกี่ฉบับ คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์

Email Marketing เหมาะกับธุรกิจใด

1. ธุรกิจที่ต้องการเพิ่มโอกาสในการขายมากขึ้น

2. ธุรกิจที่ต้องการเป็ฟนผู้นำเหนือคู่แข่งในการตลาดออนไลน์

3. ธุรกิจที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า

กระบวนการทำ Email Marketing

1. การหาและเก็บข้อมูล Email ของลูกค้า

 การสมัครสมาชิกเว็บไซต์  ทำช่องรับข่าวสาร จากทางเว็บไซต์  การแจกของฟรี หรือให้ร่วมกิจกรรมกับเว็บไซต์โดยต้องกรอกข้อมูล Email ถึงจะสามารถเข้าร่วมได้

2. เตรียมเครื่องมือในการส่ง E-Mail หาลูกค้า

3. การวัดและการประเมินผล วัดผลว่า Email ที่ส่งไปนั้น ส่งไปได้กี่ฉบับ และมีคนเปิด Email ของคุณกี่คน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยวัดผลว่าแคมเปญหรือ E-Mail ที่คุณส่งไปสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และได้รับความสนใจมากน้อยแค่ไหน

การตลาดผ่านโซเชียล มีเดีย (Social Media Marketing : SMM)

socialsocial Media คือสื่อในสังคมออนไลน์ที่ในปัจจุบันนิยมใช้งานกันมากและมีการใช้งานในรูปแบบการสื่อสารสองทาง (Interactive) ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง Social Media ประเภทต่างๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยผู้ใช้งานสามารถเข้ามาแบ่งปันความรู้ ข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ให้แก่กันได้อย่างอิสระและสามารถโต้ตอบแสดงความคิดเห็นกันได้อย่างทันทีทันใด ทำให้คุณไม่พลาดทุกการสื่อสาร Social Media Marketing (SMM) คือการทำการตลาดบนสื่อออนไลน์ ซึ่งทุกวันนี้ Social Media เช่น Facebook, Twitter ฯลฯ ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้น จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน บางคนตื่นเช้ามาต้องเข้าหน้าเว็บ Facebook เพื่อดูความเคลื่อนไหวของเพื่อน ดาราหรือข่าวสาร ความบันเทิง เพราะ Social Media สามารถเข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมง จะสังเกตได้ว่าร้านขายของ หรือบริษัทต่างๆ เริ่มหันมาให้ความสนใจในการทำการตลาดบนสื่อออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตค่อนข้างต่ำแต่มีศักยภาพค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับสื่อชนิดอื่นๆ   ดังนั้น การทำการตลาดแบบ Social Media Marketing (SMM) หรือ การทำการตลาดบนสังคมออนไลน์ จะเป็นตัวช่วยช่วยในการโปรโมทเว็บไซต์ของคุณ โดย Social Media Marketing จะเป็นตัวช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ของคุณขยับขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ดีขึ้นในเว็บไซต์ของ Google ซึ่งข้อดีของการทำการตลาดบนสังคมออนไลน์ หรือ Social Media Marketing (SMM) อีกอย่างหนึ่งก็คือ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย รวดเร็วทันใจ และช่วยในการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้เกิดการบอกต่อในหมู่มาก ได้อย่างง่ายดาย     Social Media Marketing (SMM) มีประโยชน์อย่างไร เป็นตัวช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ของคุณขยับขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ดีขึ้นในเว็บไซต์ของ Google ได้ ช่วยในการประชาสัมพันธ์บริษัท หรือ เว็บไซต์ของคุณ เพื่อให้เกิดการบอกต่อในคนหมู่มาก ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ช่วยเพิ่มช่องทางในการติดต่อสื่อสารระหว่างลูกค้าของคุณและบริษัทของคุณ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการโปรโมทหรือการประชาสัมพันธ์     ทำไมต้องทำ Social Media Marketing (SMM) การทำการตลาดแบบ Social Media Marketing ช่วยส่งผลให้การทำ SEO มีประสิทธิสูงขึ้น เนื่อง จากเป็นตัวช่วยในการผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ง่ายขึ้นและสูงขึ้นอีกด้วย การทำการตลาดแบบ Social Media Marketing ไม่ได้ทำได้เฉพาะเว็บไซต์ Facebook และ Twitter เท่านั้น เรายังสามารถโปรโมทเว็บไซต์หรือแบรนสินค้าผ่านทาง Youtube, Flickr และ Blog ต่างๆ ได้อีกด้วย การทำการตลาดแบบ Social Media Marketing ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการโฆษณาแบบอื่นๆ เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการติดต่อสื่อสาร โดยลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลสินค้าหรือบริการได้ ตลอด 24 ชม. ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงลูกค้าหรือผู้บริโภคได้อย่างใกล้ชิด บริการด้านการตลาดผ่านเฟสบุ๊ค Facebook Marketing Service ในปัจจุบัน เฟสบุ๊ค ถือว่าเป็นโซเชียล มีเดียที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ก็ว่าได้ โดยตัวเลขผู้ใช้งานทั่วโลกเมื่อเดือน กรกฏาคม ปี 2011 มีมากกว่า 800 ล้านคน ในส่วนของประเทศไทย เฟสบุ๊คถือว่ามีการเติบโตที่ก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก.คุณสามารถติดต่อเพื่อนฝูง เล่มเกมส์ และกิจกรรมอื่นๆ เฟสบุ๊ค ไม่ใช่มีเพียงแค่นี้เท่านั้น พลังของผู้บริโภคในเฟสบุ๊ค ถือเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้.ธุรกิจของคุณจะไปได้สวย หากมีการวางแผนและการจัดการที่ดีและถูกต้อง ทางเรามีความยินดีที่จะเสนอบริการการตลาดผ่านเฟสบุ๊คสำหรับธุรกิจของคุณ

facebook-users-thai

บริการโฆษณาผ่านเฟสบุ๊ค Facebook Advertising Services *ค้นหาลูกค้าหน้าใหม่เพื่อธุรกิจของคุณ* โฆษณาผ่านเฟสบุ๊ค ถือเป็น การโฆษณาออนไลน์รูปแบบหนึ่ง สำหรับธุรกิจของคุณเพื่อค้นหากลุ่มลูกค้าใหม่ ปรับปรุงและสร้างแบรนด์รอยัลตี้.อย่าพลาดโอกาสนี้! โปรดติดต่อเรา โฆษณาผ่านเฟสบุ๊ค : เป็นอย่างไร โฆษณาผ่านเฟสบุ๊คจะทำให้คุณสามารถค้นหาผู้เข้าชมหรือกลุ่มลูกค้าที่คุณต้องการได้ โดยการสร้างโฆษณาเพื่อชักจูงใจผู้ใช้เฟสบุ๊ค ทำการใช้จ่ายเงินและดูแลโฆษณา ทางเราพร้อมดูแลและจัดการในส่วนนี้เพื่อให้โฆษณาของคุณประสบผลสำเร็จ. โฆษณาผ่านเฟสบุ๊ค : ประโยชน์ คุณสามารถเชื่อมต่อไปสู่ผู้ใช้งานกว่า 800 ล้านคน โดยกำหนดลักษณะเฉพาะจาก สถานที่,เพศ,ช่วงอายุ, ความสนใจและอื่นๆ เพื่อค้นหาและกำหนดกลุ่มลูกค้าเพื่อเข้ามาเยี่ยมชมและสั่งซื้อสินค้าหรือบริการผ่านทางโฆษณา นอกจากนี้ โฆษณาผ่านเฟสบุ๊คยังเป็นวิธีการโปรโมทสินค้าหรือบริการของคุณให้เป็นที่รู้จัก และค่าใช้จ่ายที่ประหยัดเมื่อเปรียบเทียบกับสื่ออื่นๆ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์,สื่อวิทยุ และสื่อโทรทัศน์ และการควบคุมงบประมาณโดยง่าย.ทางเราขอเสนอบริการโฆษณาผ่านเฟสบุ๊คเพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับธุรกิจของคุณ. โฆษณาผ่านเฟสบุ๊ค : ขั้นตอน หลักการโดยทั่วไปของโฆษณาผ่านเฟสบุ๊ค คือการโฆษณาผ่านแบนเนอร์ไปสู่ผู้ใช้บริการที่เราได้กำหนดลักษณะเฉพาะไว้ โดยตัวโฆษณาจะแสดงอยู่ด้านขวามือของหน้าเฟสบุ๊ค ในส่วนของราคาและค่าใช้จ่ายสามารถตั้งค่าและจัดการแคมเปญได้ โดยเลือกระหว่าง จ่ายเงินเมื่อมีการคลิ๊ก ( Cost Per Click(CPC)) และจ่ายเงินต่อการแสดงผล(Cost Per Thousand Impressions(CPM)) ขั้นตอนเหล่านี้ และอื่นๆ ทางเราจะดูแลจัดการให้

บริการด้านการตลาดผ่านทวิตเตอร์ Twitter Marketing Service

*ทวีต……ทวีต……ธุรกิจของคุณ* ทวิตเตอร์ คือ โซเชียล เน็ตเวิร์กในรูปแบบการโพสข้อความสั้นๆ ที่เรียกว่า ไมโครบล็อกกิ้ง(Microblogging)โดยคุณสามารถส่งข้อความหรือประโยคจำนวน 140 ตัวอักษร หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘’ทวีต’’ ในปัจจุบัน ทวิตเตอร์ ถือว่าเป็นโซเชียล มีเดียที่ได้รับความนิยม โดยมีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 300 ล้านคน.ภาคธุรกิจโดยรวมทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยใช้ทวิตเตอร์ สำหรับประชาสัมพันธ์,โฆษณาแบรนด์สินค้าหรือบริการ ลูกค้าของคุณจะทราบว่ามีอะไรใหม่เพียงแค่ Follow คุณ! ให้ธุรกิจของคุณเติบโตด้วยทวิตเตอร์วันนี้ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อเรา. ทวิตเตอร์ : เป็นอย่างไร คุณสามารถใช้ทวิตเตอร์ส่งข้อความหรือประโยคจำนวน 140 ตัวอักษร เพื่อบอกกล่าวคนอื่นๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในแต่ละวัน.ใคร Follow คุณ,พวกเขาจะรู้ในตัวคุณ ทางเราพร้อมดูแลและจัดการเกี่ยวกับทวิตเตอร์เพื่อความสำเร็จแก่ธุรกิจคุณ. ทวิตเตอร์ : ประโยชน์ ทวิตเตอร์ถือเป็นเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ไปสู่กลุ่มเป้าหมายทางการตลาดในลักษณะแบบ real-time และเป็นช่องทางการสื่อสารเพื่อโปรโมท ประชาสัมพันธ์ และโฆษณา สินค้าหรือบริการ.คุณจะได้รับข้อเสนอแนะต่างๆและทราบกระแสต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมต่างๆ แบบทันทีทันใด ทางเรา มีความยินดีที่จะนำเสนอบริการทวิตเตอร์สำหรับแผนการตลาดของคุณ. ทวิตเตอร์ : ขั้นตอน หลักการโดยทั่วไปของทวิตเตอร์คือการส่งข้อความหรือประโยคเพื่อบอกกล่าวว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง.ทางเราจะให้บริการในส่วนบัญชีทวิตเตอร์, สร้างและออกแบบภาพรวมทวิตเตอร์ และอื่นๆ หากคุณต้องการทราบว่าเราทำอะไรให้บ้าง โปรดติดต่อเรา.

SEM (Search Engine Marketing) คือ?

SEM ย่อมาจากคำว่า Search Engine Marketing เป็นการผสมคำกันระหว่างคำว่า Search Engine หรือ เครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ต และคำว่า Marketing หรือการตลาด ดังนั้น SEM หรือ Search Engine Marketing จึงหมายถึง “การทำการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ต” 

sem_img2

 

การทำ SEM เป็นวิธีการโปรโมตเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมาย เนื่องจากในการค้นหาข้อมูลในแต่ละครั้งจำเป็นต้องใช้ Keyword (คีย์เวิร์ด) เป็นตัวกำหนดขอบเขต 

sem_img1

 

เมื่อ เราิป้อน Keyword ลงในช่องค้นหา Search Engine จะประมวลผลและแสดงออกมาเป็นรายการของเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับ Keyword นั้นๆ ไว้ในหน้า Search Result Page หรือ หน้าแสดงผลการค้นหา ยิ่งเว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้มีคนเปิดเข้าไปดูมากขึ้นเท่านั้น และนำมาซึ่งยอดผู้ใช้บริการหรือยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น

Search engine ที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบันคือ Google และ Yahoo! โดย Google เป็นที่นิยมอันดับ 1 ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย รวมทั้งประเทศไทย ส่วนในประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง และใต้หวันนิยมใช้ Yahoo!

– See more at: http://seo-web.aun-thai.co.th/what_is_sem/#sthash.HC84ve6t.dpuf

เมื่อ เราิป้อน Keyword ลงในช่องค้นหา Search Engine จะประมวลผลและแสดงออกมาเป็นรายการของเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับ Keyword นั้นๆ ไว้ในหน้า Search Result Page หรือ หน้าแสดงผลการค้นหา ยิ่งเว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้มีคนเปิดเข้าไปดูมากขึ้นเท่านั้น และนำมาซึ่งยอดผู้ใช้บริการหรือยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น

Search engine ที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบันคือ Google และ Yahoo! โดย Google เป็นที่นิยมอันดับ 1 ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย รวมทั้งประเทศไทย ส่วนในประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง และใต้หวันนิยมใช้ Yahoo!

– See more at: http://seo-web.aun-thai.co.th/what_is_sem/#sthash.HC84ve6t.dpuf

เมื่อ เราิป้อน Keyword ลงในช่องค้นหา Search Engine จะประมวลผลและแสดงออกมาเป็นรายการของเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับ Keyword นั้นๆ ไว้ในหน้า Search Result Page หรือ หน้าแสดงผลการค้นหา ยิ่งเว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้มีคนเปิดเข้าไปดูมากขึ้นเท่านั้น และนำมาซึ่งยอดผู้ใช้บริการหรือยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น

Search engine ที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบันคือ Google และ Yahoo! โดย Google เป็นที่นิยมอันดับ 1 ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย รวมทั้งประเทศไทย ส่วนในประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง และใต้หวันนิยมใช้ Yahoo!

– See more at: http://seo-web.aun-thai.co.th/what_is_sem/#sthash.HC84ve6t.dpuf

เมื่อ เราิป้อน Keyword ลงในช่องค้นหา Search Engine จะประมวลผลและแสดงออกมาเป็นรายการของเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับ Keyword นั้นๆ ไว้ในหน้า Search Result Page หรือ หน้าแสดงผลการค้นหา ยิ่งเว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้มีคนเปิดเข้าไปดูมากขึ้นเท่านั้น และนำมาซึ่งยอดผู้ใช้บริการหรือยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น

Search engine ที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบันคือ Google และ Yahoo! โดย Google เป็นที่นิยมอันดับ 1 ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย รวมทั้งประเทศไทย ส่วนในประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง และใต้หวันนิยมใช้ Yahoo!

การทำ SEM (Search Engine Marketing) สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ

– See more at: http://seo-web.aun-thai.co.th/what_is_sem/#sthash.HC84ve6t.dpuf

เมื่อ เราิป้อน Keyword ลงในช่องค้นหา Search Engine จะประมวลผลและแสดงออกมาเป็นรายการของเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับ Keyword นั้นๆ ไว้ในหน้า Search Result Page หรือ หน้าแสดงผลการค้นหา ยิ่งเว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้มีคนเปิดเข้าไปดูมากขึ้นเท่านั้น และนำมาซึ่งยอดผู้ใช้บริการหรือยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น

Search engine ที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบันคือ Google และ Yahoo! โดย Google เป็นที่นิยมอันดับ 1 ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย รวมทั้งประเทศไทย ส่วนในประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง และใต้หวันนิยมใช้ Yahoo!

การ ทำ SEM (Search Engine Marketing) สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ

1. SEO (Search Engine Optimization) หรือการโปรโมทเว็ปไซต์ คือ การเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ในส่วนของผลการค้นหาทั่วไปในหน้า Search Result Page โดยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในเว็บไซต์ให้เป็นไปตามกฏของ Search Engine นั้นๆ

SEO (Search Engine Optimization) คือ

seo_img - Copy

ตัวอย่าง หน้าผลการค้นหาของ Google.co.th โดย Keyword คำว่า “ทัวร์ ญี่ปุ่น”

ในส่วนของสีแดงคือส่วนของ Organic Search หรือ Natural Search ในส่วนนี้จะเป็นข้อมูลเว็บไซต์ทั้งหมด ที่ทางระบบของ Search Engine รวบรวมมาโดยใช้คะแนนในการจัดอันดับ การให้คะแนนนั้นก็ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ที่แต่ละ Search Engine อาทิ Google หรือ Yahoo! ได้กำหนดขึ้น เราเรียก “วิธีที่การทำให้เว็บไซต์ติดอยู่ในอันดับต้นๆ” ว่า “SEO” หรือ “Search Engine Optimization”

ระบบการจัดอันดับการแสดงผลใน Search Result Page (หน้าแสดงผลการค้นหา) มีชื่อเรียกว่า Algorithm (อัลกอริทึ่ม) แต่ละ Search Engine จะมีระบบ Algorithm ที่แตกต่างกันและจะมีการอัพเดตอยู่เสมอๆ

seo_img2ในส่วนของสีแดงคือส่วนของ Organic Search หรือ Natural Search ในส่วนนี้จะเป็นข้อมูลเว็บไซต์ทั้งหมด ที่ทางระบบของ Search Engine รวบรวมมาโดยใช้คะแนนในการจัดอันดับ การให้คะแนนนั้นก็ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ที่แต่ละ Search Engine อาทิ Goo

our_service_img7

SEO Macro | เพิ่มจำนวนลิงค์คุณภาพ (Back link)
บริการเพิ่มลิงค์ภายนอกพร้อม Keyword จากเว็บไซต์อื่นๆที่มีคุณภาพซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับเว็บไซต์

our_service_img3

SEO Guide | ปรับเว็บไซต์ให้ถูกหลัก SEO (1 ครั้ง)
บริการวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงเว็บไซต์ภายในเวลาสั้นๆ ซึ่งเป็นแนวทางในการทำ SEO ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

our_service_img4

 

 

SEO Macro | เพิ่มจำนวนลิงค์คุณภาพ (Back link)
บริการเพิ่มลิงค์ภายนอกพร้อม Keyword จากเว็บไซต์อื่นๆที่มีคุณภาพซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับเว็บไซต์

our_service_img5

SEO Guide | ปรับเว็บไซต์ให้ถูกหลัก SEO (1 ครั้ง)
บริการวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงเว็บไซต์ภายในเวลาสั้นๆ ซึ่งเป็นแนวทางในการทำ SEO ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

our_service_img12

SEO Tool | Ginzametrics รูปแบบ SEO ขององค์กรบริษัท
บริการรวบรวมอันดับการเสิร์ชในแต่ละวันและการวิเคราะห์การเข้าถึงบน Search Engine หลักๆ ในแต่ละประเทศเข้าไว้ด้วยกันพร้อมกับนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที

2. PPC (Pay Per Click) คือ ส่วนของพื้นที่โฆษณาซึ่งอยู่ในหน้า Search Result Page เช่นกัน แต่ต้องจ่ายเงินเมื่อมีการคลิ๊กเปิดเข้าไปดูเว็บไซต์ PPC มีข้อแตกต่างกับ SEO ตรงที่สามารถแสดงผลในลำดับต้นๆได้ง่ายและรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างในเว็ปไซด์ เพียงแค่ประมูล Keyword ที่ต้องการมา เว็บไซต์ก็สามารถแสดงอยู่ในอันดับต้นๆได้

sem_img3

ตัวอย่างหน้าผลการค้นหาของ Google.co.th โดย Keyword คำว่า “ทัวร์ ญี่ปุ่น”

ในส่วนสีน้ำเงินคือส่วนของโฆษณาที่จะต้องเสียเงินเมื่อมีการคลิ๊กเกิดขึ้น ที่ไทยเป็นที่รู้จักกันในชื่อ PPC (Pay Per Click) ส่วนที่ญี่ปุ่นจะเรียกว่า P4P (Pay for Performance หรือ Pay for Placement) หรือ Listing Advertising

PPC เป็นรูปแบบการโฆษณาบน Search Result Page หรือหน้าแสดงผลการค้นหาซึ่งเราต้องประมูล Keyword เพื่อที่จะให้โฆษณาของเราไปปรากฎอยู่เมื่อมีการค้นหาใน Search Engine ตำแหน่งของโฆษณานั้นจะถูกกำหนดโดยค่าประมูลที่เรียกว่าค่า CPC (Cost Per Click) ซึ่งก็คือ ราคาที่เรากำหนดไว้ว่าหากมีคนคลิ๊กเข้าไปดูเว็บไซต์ของเราผ่านทางตัวโฆษณา เราจะต้องจ่ายเงินให้กับ Search Engine ครั้งละเท่าไหร่

ระบบโฆษณาแบบ PPC ที่เป็นที่นิยมทั่วโลก ในปัจจุบันมีผู้ให้บริการสองแบรนด์หลักใหญ่ๆ คือ

1. Google หรือชื่อทางการค้าคือ AdWords
2. Yahoo! หรือชื่อทางการค้าคือ Sponsored Search

ppc_img1 - Copy

ตัวอย่างหน้าผลการค้นหาของ Google.co.th โดย Keyword คำว่า “ทัวร์ ญี่ปุ่น”

ในส่วนสีน้ำเงินคือส่วนของโฆษณาที่จะต้องเสียเงินเมื่อมีการคลิ๊กเกิดขึ้น ที่ไทยเป็นที่รู้จักกันในชื่อ PPC (Pay Per Click) ส่วนที่ญี่ปุ่นจะเรียกว่า P4P (Pay for Performance หรือ Pay for Placement) หรือ Listing Advertising

PPC เป็นรูปแบบการโฆษณาบน Search Result Page หรือหน้าแสดงผลการค้นหาซึ่งเราต้องประมูล Keyword เพื่อที่จะให้โฆษณาของเราไปปรากฎอยู่เมื่อมีการค้นหาใน Search Engine ตำแหน่งของโฆษณานั้นจะถูกกำหนดโดยค่าประมูลที่เรียกว่าค่า CPC (Cost Per Click) ซึ่งก็คือ ราคาที่เรากำหนดไว้ว่าหากมีคนคลิ๊กเข้าไปดูเว็บไซต์ของเราผ่านทางตัวโฆษณา เราจะต้องจ่ายเงินให้กับ Search Engine ครั้งละเท่าไหร่

ระบบโฆษณาแบบ PPC ที่เป็นที่นิยมทั่วโลก ในปัจจุบันมีผู้ให้บริการสองแบรนด์หลักใหญ่ๆ คือ

1. Google หรือชื่อทางการค้าคือ AdWords
2. Yahoo! หรือชื่อทางการค้าคือ Sponsored Search

– See more at: http://seo-web.aun-thai.co.th/what_is_sem/ppc.html#sthash.yXyDO9Lw.dpuf

 

การทำการตลาดผ่าน PPC เหมาะสำหรับ?

 

การ ทำ SEM (Search Engine Marketing) สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ – See more at: http://seo-web.aun-thai.co.th/what_is_sem/#sthash.HC84ve6t.dpuf

การทำการตลาดผ่าน PC เหมาะสำหรับ?

1. ต้องการทำโปรโมชั่นในระยะสั้น หรือชั่วระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
สามารถเลือกหรือเปลี่ยนแปลง Keyword และข้อความโฆษณาให้เหมาะกับเทรนด์ในช่วงเวลานั้นๆได้ตามต้องการ และยังสามารถเลือกให้แสดงหรือหยุดโฆษณาได้ทุกเมื่อ

2. ต้องการโปรโมทธุรกิจและสามารถเห็นผลได้ภายในระยะเวลาอันสั้น หรือการเปิดตัวสินค้าใหม่
สามารถแสดงโฆษณาบน Search Engine ได้ในเวลาไม่กี่นาที ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาปรับปรุงเว็บไซต์และต้องรอเวลาในการไต่อันดับเหมือน กับการทำ SEO

3. ต้องการโปรโมทธุรกิจด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพแต่มีงบประมาณที่จำกัด
การทำ PPC ช่วยเพิ่มโอกาสที่จะมีคนเปิดเข้าไปดูเว็บไซต์และช่วยเพิ่มยอดขายได้ นอกจากนั้นยังสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะแบ่งโดยภาษาหรือพื้นที่ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะมาจากการคลิ๊กในแต่ละครั้งเท่านั้น และเรายังสามารถกำหนดงบประมาณที่จะใช้ในการโฆษณาได้อีกด้วย

4. ต้องการเพิ่มช่องทางในการโปรโมทสินค้า หรือบริการ
ตำแหน่งของ PPC เป็นส่วนที่สะดุดตาบน Search Result Page จึงมีโอกาสที่ผู้ใช้จะมองเห็นเว็บไซต์ของเราได้ง่าย นอกจากนั้น แม้ว่าจะไม่มีการคลิ๊กเข้าไปดู แต่ชื่อของเว็บไซต์และเนื้อหาที่ต้องการเน้นก็สามารถปรากฎให้ผู้ใช้เห็นได้ ซึ่งจะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆเพราะไม่มีการคลิ๊กเกิดขึ้น

5. ต้องการให้เว็บไซต์อยู่ในหน้าแรกหรืออันดับต้นๆบน Search Result Page
หากมี Keyword ที่ต้องการให้เสิร์ชหรือให้ค้นหาเจอ หรือเป็น Keyword ที่ได้ทำ SEO แล้ว แต่เว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ไม่ดีนัก ก็สามารถลงโฆษณาแบบ PPC เพื่อให้เว็บไซต์ปรากฎอยู่ในหน้าแรกได้เช่นกัน

Cr – See more at: http://seo-web.aun-thai.co.th/what_is_sem/ppc.html#sthash.yXyDO9Lw.dpuf

 

เมื่อ เราิป้อน Keyword ลงในช่องค้นหา Search Engine จะประมวลผลและแสดงออกมาเป็นรายการของเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับ Keyword นั้นๆ ไว้ในหน้า Search Result Page หรือ หน้าแสดงผลการค้นหา ยิ่งเว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้มีคนเปิดเข้าไปดูมากขึ้นเท่านั้น และนำมาซึ่งยอดผู้ใช้บริการหรือยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น

Search engine ที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบันคือ Google และ Yahoo! โดย Google เป็นที่นิยมอันดับ 1 ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย รวมทั้งประเทศไทย ส่วนในประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง และใต้หวันนิยมใช้ Yahoo!

– See more at: http://seo-web.aun-thai.co.th/what_is_sem/#sthash.HC84ve6t.dpuf

 

เมื่อ เราิป้อน Keyword ลงในช่องค้นหา Search Engine จะประมวลผลและแสดงออกมาเป็นรายการของเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับ Keyword นั้นๆ ไว้ในหน้า Search Result Page หรือ หน้าแสดงผลการค้นหา ยิ่งเว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้มีคนเปิดเข้าไปดูมากขึ้นเท่านั้น และนำมาซึ่งยอดผู้ใช้บริการหรือยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น

Search engine ที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบันคือ Google และ Yahoo! โดย Google เป็นที่นิยมอันดับ 1 ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย รวมทั้งประเทศไทย ส่วนในประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง และใต้หวันนิยมใช้ Yahoo!

– See more at: http://seo-web.aun-thai.co.th/what_is_sem/#sthash.HC84ve6t.dpuf

Ryan Giggs ● Top 10 Goals ● 1991-2014

วันนี้เรานำเสนอ 10 ประตูที่ดีที่สุดในชีวิตการค้าแข้งของ ไรอัน กิ๊กส์ ในสีเสื้อปีศาจแดง ตั้งแต่เริ่มต้นการค้าแข้งถึงช่วงแขวนสะตั๊ด

 

ทักษะและเทคติคของปีกพ่อมด

Ryan Giggs ||| Skills,Tricks and Goals by StonyUnited